ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

คดีดังสะเทือนไทย ปี 2567 "รถบัสไฟไหม้-ดิไอคอน"

อาชญากรรม
12 ธ.ค. 67
15:16
1,002
Logo Thai PBS
คดีดังสะเทือนไทย ปี 2567 "รถบัสไฟไหม้-ดิไอคอน"
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ปี 2567 สังคมไทยสะเทือนใจจากเหตุรถบัสทัศนศึกษาจาก ไฟไหม้สูญเสีย 23 ชีวิตครู-นักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม ขณะที่หลายคนดังจากหลากวงการ ตกเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวพันคดีฉ้อโกง-ฟอกเงิน ทั้งบอสพอล-แซม-มิน-กันต์ หมอบุญ ทนายตั้ม และบิ๊กโจ๊ก

"แป้ง นาโหนด" หลบหนี 222 วัน

เรียกว่าหลบหนีนาน 7 เดือน สำหรับ "แป้ง นาโหนด" หรือ นายเชาวลิต ทองด้วง อายุ 37 ปี ผู้ต้องขังหลบหนีระหว่างการเข้ารับการรักษา ใน รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ก่อนถูกจับกุมตัวที่บาหลี อินโดนีเซีย และส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2567

แป้ง นาโหนด หนึ่งในผู้มีอิทธิพลและกว้างขวางในพื้นที่พัทลุง ผู้ต้องขังคดีปล้นทรัพย์ และพ.ร.บ.อาวุธปืน และเคยต้องคดี เช่น บุกรุกยามวิกาล, คดีฆ่าผู้อื่น, คดีพยายามฆ่าผู้อื่น, คดีพยายามฆ่าตำรวจ เจ้าตัวมีกำหนดโทษ 21 ปี 3 เดือน 25 วัน และจะพ้นโทษในวันที่ 6 พ.ค.2586 แต่หลบหนีออกจาก รพ. เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 22 ต.ค.2566

แป้ง นาโหนด หลบหนีจาก รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช

แป้ง นาโหนด หลบหนีจาก รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช

แป้ง นาโหนด หลบหนีจาก รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช

เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมกำลังนับร้อยนาย ปฏิบัติการค้นหาและเกิดการปะทะในป่าบนเทือกเขาบรรทัด สุดท้ายแป้ง นาโหนด ฝ่าวงล้อมตำรวจหลบหนีไปได้ พร้อมอัดคลิปอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดี กระทั่งช่วงต้นเดือน ธ.ค.2566 ตำรวจยกเลิกภารกิจบนเทือกเขาบรรทัด ก่อนจะมีกระแสข่าวว่าแป้ง นาโหนด หลบหนีออกไปต่างประเทศแล้ว

อ่านข่าว แกะเส้นทางหนี "เสี่ยแป้ง นาโหนด" ซ่อนไทย -ไปต่างแดน 

การสืบสวนสอบสวนพบว่า "การหลบหนี" ทำเป็นขบวนการ โดยมีการออกหมายจับ 4 ผู้ช่วยเหลือ "ปอย บิ๊ก หมวย ไหม" แบ่งหน้าที่กันทำทั้งจัดหาอาวุธปืน กุญแจปลดพันธนาการ ประสานงาน และคนเฝ้าไข้ ส่วน 3 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 157 ปล่อยปละละเลยในการควบคุมตัวผู้ต้องขัง จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังหลบหนี โดยให้ออกจากราชการไว้ก่อน

กระทั่งวันที่ 4 มิ.ย.2567 เจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย ควบคุมตัวแป้ง นาโหนด กลับถึงไทย และถูกควบคุมตัวที่เรือนจำกลางบางขวาง

มรสุม "บิ๊กโจ๊ก" พ้น ตร.

วันที่ 24 เม.ย.2567 พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ต่อ ก.พ.ค.ตร. และวันที่ 5 ส.ค.2567 ก.พ.ค.ตร.มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ โดยเห็นว่า คำสั่งชอบแล้วด้วยกฎหมาย ต่อมาจึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 27 ส.ค.2567 พร้อมยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างการรอพิจารณาคดี

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะใช้ช่องทางกฎหมายต่อสู้คดี เรียกคืนความยุติธรรมให้ตัวเองจนถึงที่สุด จากนั้นจึงจะพิจารณาว่าจะกำหนดเส้นทางชีวิตอย่างไรต่อไป โดยเชื่อมั่นมาตลอดว่าการถูกกล่าวหาไปเกี่ยวข้องกับลูกน้องและเว็บพนันออนไลน์ จนถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ไปจนถึงออกหมายจับ และให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะมีคนต้องการสกัดเส้นทางขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งขณะนั้นมีอาวุโสอันดับ 1

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล

นอกจากคดีทางวินัย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยังถูกดำเนินคดีทางอาญา ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฟอกเงิน สมคบกับฟอกเงิน และเป็นเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกันฟอกเงิน จากเว็บพนัน BNK Master ขณะนี้คดีอยู่ในขั้นตอนการไต่สวนพยาน ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีกทั้งถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบทรัพย์สินที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอีกหลายรายการ

ชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ปรากฎขึ้นมาอีกครั้งในช่วงที่เงียบหายไปนาน ทำให้วงการตำรวจและผู้ที่ให้ความสนใจจับตามองว่า แมว 9 ชีวิตอย่าง "บิ๊กโจ๊ก" จะใช้วิธีใดกลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

อ่านข่าว ศาล ปค.สูงสุดเผยผลชี้ขาด "บิ๊กโจ๊ก" ปมออกราชการรอคำพิพากษา 

"เรือน้ำมันของกลาง" ล่องหน 3 ลำ

วันที่ 12 มิ.ย.2567 เรือน้ำมันของกลาง 3 ลำ พร้อมน้ำมันเถื่อน 330,000 ลิตร ได้ล่องหนจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี ได้แก่

เรือ เจ.พี. บรรจุน้ำมันเถื่อน ประมาณ 80,000 ลิตร พร้อมลูกเรือจำนวน 7 คน, เรือซีฮอด บรรจุน้ำมันเถื่อน 150,000 ลิตร พร้อมลูกเรือจำนวน 6 คน, เรือดาวรุ่ง บรรจุน้ำมันเถื่อน 100,000 ลิตร พร้อมลูกเรือจำนวน 5 คน

ก่อนหน้านั้นวันที่ 9 มิ.ย.ตำรวจน้ำได้นำเรือของกลาง 5 ลำไปจอดทอดสมอไว้ห่างจากท่าเทียบเรือ 100 เมตร อ้างว่าป้องกันเรือเสียหายจากคลื่นลมแรง

วันที่ 13 มิ.ย.2567 ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ลงนามคำสั่งย้าย ผกก.ตำรวจน้ำ พร้อมลูกน้องรวม 4 คน เข้า ศปก. พร้อมเดินหน้าติดตามเรือ โดยประสานประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา ที่คาดว่าเป็นปลายทางที่เรือหลบหนี ซึ่งแนวทางสืบสวนเชื่อว่านายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ปัตตานี เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง

เรือน้ำมันของกลางหายไป

เรือน้ำมันของกลางหายไป

เรือน้ำมันของกลางหายไป

กระทั่งวันที่ 17 มิ.ย.2567 เวลา 19.30 น. เจ้าหน้าที่ควบคุมเรือน้ำมันทั้ง 3 ลำ พร้อมลูกเรือ 8 คน มาที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ จ.สงขลา พบว่า เรือซีฮอดถูกดัดแปลงสีจากเดิมพื้นที่แดง ทาสีเขียว

การขยายผลการสืบสวนสอบสวน พบว่าต้นเดือน พ.ค.2567 มีกลุ่มผู้ต้องหาบางราย คือ นายสมเกียรติ และนายสำเริง นัดหมายไต้ก๋งเรือทั้ง 3 ลำไปพบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง อ.สัตหีบ โดยนำวิทยุสื่อสาร พร้อมเครื่องนำในการเดินเรือ หรือจีพีเอส 3 ชุด มอบให้ไต้ก๋งเรือ เพื่อเตรียมการหลบหนี จนกระทั่งวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีคลื่นลมแรงบริเวณสัตหีบ และวันที่ 11 มิ.ย.2567 พบเส้นทางการติดต่อสื่อสาร และเส้นเงินของกลุ่มนายสหชัย กระทั่งเวลา 20.00 น. เรือทั้ง 3 ลำเคลื่อนตัวจากจุดจอดและหลบหนี

ทั้งนี้ นายสหชัย, นายสมเกียรติ หรือเสี่ยเล็ก, นายสำเริง และพนักงานของสำนักงานนายสหชัย ที่ จ.ปัตตานี ร่วมวางแผนนำเรือหลบหนี

ขณะที่กรมศุลกากร ประเมินราคาน้ำมันที่หายไปอยู่ที่ 9 ล้านบาท ส่วนค่าปรับกรณีจับกุมน้ำมันเถื่อนครั้งแรก 5 ลำ อยู่ที่ 36 ล้านบาท โดยจะเอาผิดทั้งขบวนการตั้งแต่ผู้สั่งการถึงลูกเรือ

อ่านข่าว ตั้งกรรมการสอบ "ตำรวจน้ำ" ปล่อยเรือของกลางคดีน้ำมันเถื่อน 3 ลำหาย  

สังหารหมู่ 6 ศพชาวเวียดนาม โรงแรมหรูกลางกรุง

คืนวันที่ 16 ก.ค.2567 เกิดคดีสะเทือนขวัญกลางกรุง มีรายงานการพบศพชาวต่างชาติ 6 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 3 คน ในห้องพักโรงแรมหรูย่านราชประสงค์ ซึ่งตำรวจลงพื้นที่ทำงานสืบสวนสอบสวน และเร่งคลี่คลายคดี หวั่นกระทบการท่องเที่ยว

วันรุ่งขึ้น (17 ก.ค.) พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำทีมชุดคลี่คลายคดีแถลงข่าวทันที หลังพบผู้ก่อเหตุไม่ใช่ใครอื่น แต่หญิงหนึ่งในผู้เสียชีวิต

ตำรวจแถลงปมหนี้ 10 ล้านบาท คดีวางยาชาวเวียดนาม

ตำรวจแถลงปมหนี้ 10 ล้านบาท คดีวางยาชาวเวียดนาม

ตำรวจแถลงปมหนี้ 10 ล้านบาท คดีวางยาชาวเวียดนาม

การตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ยืนยันว่า ไม่มีคนอื่นเข้าไปยังห้องพักที่เกิดเหตุ นอกจากทั้ง 6 คน โดยมีการได้สั่งอาหารมาตั้งแต่เวลา 11.42 น.ของคืนวันที่ 15 ก.ค. ทั้งข้าวผัด ต้มยำกุ้ง ผัดผัก แต่การตรวจพิสูจน์พบ "สารไซยาไนด์" ในกระบอกน้ำชาและแก้วน้ำ

ส่วนสาเหตุของการฆาตกรรม พบว่า ผู้เสียชีวิตลงมือฆ่าเพื่อนร่วมชาติ ด้วยการใช้สารไซยาไนด์ เนื่องจากติดหนี้สองสามีภรรยา 10 ล้านบาท อ้างว่านำเงินไปลงทุนสร้างโรงพยาบาลในญี่ปุ่น และมีการทวงถามมาโดยตลอด โดยนัดหมายไปเคลียร์กันที่ญี่ปุ่น แต่วีซาไม่ผ่าน จึงนัดมาไทย และก่อเหตุในครั้งนี้

อ่านข่าว ผลชันสูตร 6 ศพเวียดนามตายจากพิษ "ไซยาไนด์" 

ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา นร.-ครูเสียชีวิต 23 คน

เปิดเดือน ต.ค.ด้วยข่าวเศร้าและสะเทือนใจผู้คน เหตุรถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 เวลา 12.08 น. ที่ถนนวิภาวดีรังสิต ขาเข้า ทำให้นักเรียนและครูโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี เสียชีวิต 23 คน

ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา ครู-นักเรียนเสียชีวิต 23 คน

ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา ครู-นักเรียนเสียชีวิต 23 คน

ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา ครู-นักเรียนเสียชีวิต 23 คน

ขณะที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง เปิดเผยสาเหตุไฟไหม้รถบัสมาจากการรั่วไกลของแก๊สบริเวณส่วนหน้าของรถ โดยไฟเริ่มลุกไหม้จากช่วงด้านหน้าตอนกลางรถ โดยรถคันดังกล่าวแจ้งจดทะเบียนติดตั้งก๊าซ 6 ถัง แต่ติดตั้งจริง 11 ถัง อีกทั้งไม่พบอุปกรณ์ค้อนทุบกระจก

อ่านข่าว พฐ.ชี้ "แก๊สรั่ว" สาเหตุไฟไหม้รถบัส รอคลี่ปมชนวนจุดประกายไฟ 

จับ 18 บอส "ดิไอคอน"

16 ต.ค.2567 ตำรวจสอบสวนกลาง นำหมายจับเข้าควบคุมตัววรัตน์พล หรือ "บอสพอล" ซีอีโอดิไอคอนกรุ๊ป ขณะเข้าให้ข้อมูลที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พร้อมด้วยบอสปัน บอสป๊อบ และบอสสวย

ในวันเดียวกันตำรวจเข้าควบคุมตัวผู้ต้องหา รวม 18 คน รวม "แซม" ยุรนันท์ ภมรมนตรี, มิน-พีชญา วัฒนามนตรี และกันต์ กันตถาวร ก่อนทยอยคุมตัวมาสอบปากคำตลอดทั้งคืน ที่กองบังคับการปราบปราม จากนั้น 17 บอสถูกคุมตัวไปขอฝากขังในวันรุ่งขึ้น (17 ต.ค.) และบอสพอลวันถัดมา (18 ต.ค.)

หากไล่เรียงไทม์ไลน์ปฏิบัติการเกิดขึ้นหลังช่วงต้นเดือน ต.ค. "ดิไอคอนกรุ๊ป" ถูกเปิดโปงขบวนการธุรกิจตลาดแบบตรง โดยมีผู้เสียหายจำนวนมากเข้ามาแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งในวันที่ 24 ต.ค.2567 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับกรณีดิไอคอน เป็นคดีพิเศษ

ทั้งนี้ ผู้ต้องหามีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน อันเป็นความผิด พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น และร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.และตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ตำรวจคุมตัวกันต์ไปฝากขัง

ตำรวจคุมตัวกันต์ไปฝากขัง

ตำรวจคุมตัวกันต์ไปฝากขัง

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ขยายผลและขอออกหมายจับคุมตัวนายสามารถ และนางวิลาวัลย์ ซึ่งเป็นแม่ ผู้ต้องหาร่วมกันและสมคบกันฟอกเงิน หลังพบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับดิไอคอน โดยแม่ของนายสามารถอ้างว่าเป็นเงินทำบุญ และต่อมาได้รับการประกันตัว ส่วนนายสามารถ ศาลไม่ให้ประกันตัว หวั่นยุ่งเหยิงพยานหลักฐานและมีพฤติการณ์หลบหนี

อ่านข่าว "ดีเอสไอ" รับความผิดฟอกเงิน "ดิไอคอน" เป็นคดีพิเศษ 

จับ "ทนายตั้ม" คดีฉ้อโกง "เจ๊อ้อย"

วันที่ 7 พ.ย.2567 ตำรวจควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมนางปทิตตา ภรรยา ได้ที่ จ.ฉะเชิงเทรา ในข้อหาฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินฯ

คดีนี้ น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายษิทรา ในคดีที่เกี่ยวข้องกับเงิน 71 ล้านบาท, ค่าออกแบบการก่อสร้างอาคาร 9 ล้านบาท และคดีเป็นนายหน้ารับค่าส่วนต่างจากการซื้อขายรถยนต์ 13 ล้านบาท รวม 3 คดี

ตำรวจคุมตัวทนายตั้มคดีฉ้อโกงเจ๊อ้อย

ตำรวจคุมตัวทนายตั้มคดีฉ้อโกงเจ๊อ้อย

ตำรวจคุมตัวทนายตั้มคดีฉ้อโกงเจ๊อ้อย

ต่อมาตำรวจขยายผลขบวนการฉ้อโกง 39 ล้านบาท โดยจับกุมนายนุวัฒ์ และ น.ส.สารินี ผู้เบิกเงิน 39 ล้านบาทจากธนาคารย่านลาดพร้าว โดยก่อนหน้านี้ได้อ้างว่าถูกสแกมเมอร์ดูดเงินจากการที่เจ๊อ้อยให้ติดต่อนักแสดงชาวจีน ผู้เสียหายจึงยอมโอนเงินให้ 39 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 27 พ.ย.2567 ตำรวจได้ควบคุมตัว น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยานายษิทรา ข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อฟอกเงิน

กระทั่งวันที่ 25 พ.ย.2567 นายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือทนายสายหยุด ได้ออกมาแถลงถอนตัวจากการเป็นทนายความให้นายษิทรา หลังพบพิรุธเอกสาร และมีคดีเงิน 39 ล้านบาทเพิ่มเติม โดยได้แนะนำให้รับสารภาพ แต่เจ้าตัวยืนยันจะสู้คดี เมื่อเห็นว่าแนวทางไม่ตรงกันจึงขอถอนตัว

อ่านข่าว จับ "ทนายตั้ม-ภรรยา" ข้อหาฉ้อโกง-ฟอกเงิน 

"หมอบุญ" คดีฉ้อโกง-หลอกลงทุน 7.5 พันล้าน

วันที่ 22 พ.ย.2567 พนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำหลักฐานขอศาลอาญาออกมาจับ นพ.บุญ วนาสินอายุ 86 ปี ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี พร้อมอดีตภรรยา ลูกสาว และพวกรวม 9 คน หลังร่วมกันฉ้อโกงประชาชน หลอกให้ร่วมลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์ 5 โครงการใหญ่

โครงการสร้างศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า พื้นที่ 7 ไร่, โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างที่พักอาคารสูง 52 ชั้น รองรับผู้สูงอายุ 400 ห้อง, โครงการโรงพยาบาลในลาว 3 แห่ง แบ่งเป็นเวียงจันทน์ 2 แห่ง จำปาสัก 1 แห่ง, โครงการเข้าร่วมทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม, โครงการสร้าง Medical intelligence ทำหน้าที่ด้านไอที

ขณะที่ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) แถลงรายละเอียดและการดำเนินคดี ว่า เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.2566 มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง ต่อมาในปี 2567 ผู้เสียหายเข้าแจ้งความเพิ่มเติมสะสม 250 คน มูลค่าเสียหายรวม 7,500 ล้านบาท

หมอบุญ ผู้ต้องหาคดีหลอกลงทุน

หมอบุญ ผู้ต้องหาคดีหลอกลงทุน

หมอบุญ ผู้ต้องหาคดีหลอกลงทุน

พฤติการณ์ของ นพ.บุญ ได้สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการออกสื่อ ทั้งลงเว็บไซต์และให้สัมภาษณ์ ก่อนให้โบรกเกอร์แจ้งระดมทุน อ้างให้ค่าตอบแทนสูงว่าสถาบันการเงิน ในช่วงแรกพบว่ามีการชำระดอกเบี้ยให้ผู้เสียหายบางส่วน แต่ต่อมาไม่มีการจ่ายเงิน ไม่คืนเงินต้น และเช็คเด้ง กระทั่งวันที่ 29 ก.ย.2567 เวลา 14.25 น. นพ.บุญ ได้เดินทางออกไปต่างประเทศ

ล่าสุดตำรวจได้ประสานงานกับตำรวจสากล (Interpol) เพื่อออกหมายแดงติดตามจับกุมตัว นพ.บุญ และประสานตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยพบข้อมูลว่าหลบหนีไปจีน ส่วนอดีตภรรยา และลูกสาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เพราะคดีมีอัตราโทษสูง หวั่นหลบหนี หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

อ่านข่าว ออกหมายจับ "หมอบุญ" ภรรยา-ลูก-พวกรวม 9 คน "ฉ้อโกง-ฟอกเงิน" 

ยิง "สจ.โต้ง" ดับคาบ้านพัก "สุนทร วิลาวัลย์"

เวลา 20.30 น. วันที่ 11 ธ.ค.2567 มีรายงานข่าวเสียงปืนดังขึ้นภายในบ้านพักของนายสุนทร วิลาวัลย์ นายก อบจ.ปราจีนบุรี และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.ศึกษาธิการ ในพื้นที่ อ.เมืองปราจีนบุรี ทำให้นายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง ลูกบุญธรรมของสุนทร เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ตำรวจเข้าปิดล้อมและเคลียร์พื้นที่บ้านพัก ก่อนควบคุมตัวผู้ก่อเหตุ นายกอล์ฟ นายตูน กับพวกรวม 7 คน และนายสุนทร ไปสอบสวนที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี

ตำรวจคุมตัวผู้ต้องสงสัยยิง สจ.โต้ง สอบปากคำ

ตำรวจคุมตัวผู้ต้องสงสัยยิง สจ.โต้ง สอบปากคำ

ตำรวจคุมตัวผู้ต้องสงสัยยิง สจ.โต้ง สอบปากคำ

อ่านข่าว ยิง "สจ.โต้ง" เสียชีวิตคาบ้านสุนทร วิลาวัลย์ 

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนเกิดเหตุนายชัยเมศร์ นัดประชุมพูดคุยเรื่องเตรียมลงสมัครสมาชิกสภา อบจ.ปราจีนบุรี เนื่องจากสมัยที่แล้วนายชัยเมศร์ ไม่ได้ลงสมัคร แต่ไปเป็นโปรโมเตอร์จัดมวย เมื่อจะกลับมาสมัครอีกครั้งในสมัยนี้ จึงต้องมีการพูดคุยกันในกลุ่มที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดสรรผู้ลงสมัคร

เบื้องต้น สจ.โต้ง ต้องการให้ สจ.จอย ภรรยาลงสมัครชิงตำแหน่ง แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากหลายฝ่าย จึงมีการนัดพูดคุยกันที่บ้านของนายสุนทร จนเกิดเหตุดังกล่าว

อ่านข่าว : ผบ.ตร.สั่งเอาผิดทุกคนทุกข้อหาคดี"สจ.โต้ง" เพิ่มข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร 

ย้อน "เหตุการณ์สุดช็อก" โลกต้องจำ ปี 2567 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง