เกิดอะไรขึ้นในซีเรีย
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2024 รัฐบาลซีเรียล่ม ปิดฉากการปกครองของตระกูลอัล-อัสซาด ที่ยาวนานถึง 50 ปี การล่มสลายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการโจมตีของกลุ่มกบฏ ซึ่งเคลื่อนตัวข้ามพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลและบุกเข้าสู่กรุงดามัสกัสภายในเวลาเพียง 10 วัน กลุ่มกบฏจากกลุ่ม Hayat Tahrir al-Sham (HTS) ประกาศว่า ปธน.บาชาร์ อัล-อัสซาด ถูกโค่นล้มแล้วและนักโทษทุกคนในเรือนจำถูกปล่อยตัว
การรุกของกลุ่มกบฏเริ่มจากการยึดเมืองใหญ่ ๆ เช่น อเลปโป และ ฮามา ก่อนที่การโจมตีจะขยายไปถึงกรุงดามัสกัส ซึ่งรัฐบาลซีเรียเริ่มแสดงอาการอ่อนแอลง โดยพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศหลายแห่งตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกบฏ นายกฯ โมฮัมเหม็ด กาซี จาลาลี ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมที่จะยอมส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลชั่วคราว
เมื่อข่าวแพร่สะพัด ผู้คนในดามัสกัสต่างออกมาฉลองการล่มสลายของระบอบอัสซาด โดยตะโกนประณาม บาชาร์ และแสดงออกถึงความโล่งใจหลังถูกปลดปล่อยจากการปกครองที่เต็มไปด้วยการกดขี่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถอยทัพและอาคารรัฐบาล รวมทั้งกระทรวงกลาโหมถูกทิ้งร้างและปล้น การล่มสลายของรัฐบาลนี้เกิดขึ้นหลังจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่การประท้วงในปี 2011 ซึ่งนำไปสู่สงครามที่มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน
การล่มสลายของรัฐบาลอัสซาด เป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในประวัติศาสตร์ของซีเรีย และทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการทูตอย่างเร่งด่วนจากสหประชาชาติและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการนำไปสู่สันติภาพในซีเรีย
ฮาเฟซ อัล-อัสซาด : จุดเริ่มต้นของอำนาจ
ครอบครัวอัล-อัสซาดมาจากหมู่บ้านคาร์ดาฮาในภูเขาชายฝั่งของซีเรียและสังกัดเผ่ากัลบียะ บิดาของ ฮาเฟซ อัล-อัสซาดเปลี่ยนนามสกุลจาก "อัล-วาฮ์ช" (หมายถึงสัตว์ป่า) เป็น "อัล-อัสซาด" (สิงโต) ในช่วงปี 1920 เพื่อสะท้อนสถานะครอบครัวในท้องถิ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ได้รับการยกย่องจากชุมชนในฐานะผู้นำท้องถิ่นและนักเจรจาประนีประนอม ในการปฏิรูปหลังจากสงคราม ถือเป็น 1 ในผู้นำที่มีอิทธิพลในภูมิภาค
ต่อมาในยุคของ "ฮาเฟซ อัล-อัสซาด" ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างซีเรียยุคใหม่ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงจากการรัฐประหารและตอบโต้รัฐประหารหลายครั้งในซีเรีย ฮาเฟซใช้เครือข่ายอำนาจที่เขาสร้างขึ้นในตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพอากาศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก้าวขึ้นสู่อำนาจประธานาธิบดีในปี 1970
เขาสร้างรัฐที่มีอำนาจสูงสุด สร้างระบบ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" (Divide and rule) โดยเน้นการรวมอำนาจเข้าสู่ตัวเขาเองเป็นศูนย์กลางหรือเรียกว่า "ลัทธิบูชาบุคคล (Cult of personality)" โดยใช้ภาพของตัวเขาเองในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด รูปปั้น หรือคำขวัญที่บอกถึงความยิ่งใหญ่ของเขาในสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น โรงเรียน ตลาด และสำนักงานรัฐบาล เขาได้ส่งเสริมตัวเองในฐานะ "ผู้นำอมตะ" และ "ผู้ที่ถูกศักดิ์สิทธิ์" ภายใต้การบูชาอย่างหนักหน่วง
ภายใต้ลัทธิบูชาบุคคลที่ถูกส่งต่อกันมาในตระกูลอัล-อัสซาด ทำให้ประชาชนในซีเรียเชื่อมโยงอัตลักษณ์ของชาติและการปกครองเข้ากับลัทธิอัสซาด ผ่านการใช้สัญลักษณ์ทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับครอบครัวอัล-อัสซาด เช่น ป้ายโฆษณาและคำขวัญที่ระบุถึงการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากประชาชน นอกจากนี้ การต่อต้านการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลถือเป็นอาชญากรรมในซีเรีย ซึ่งทำให้การแสดงออกทางการเมืองและการวิพากษ์วิจารณ์กลายเป็นสิ่งต้องห้าม
อย่างไรก็ตาม ระบบที่ฮาเฟซสร้างขึ้น ทำให้รัฐบาลและสถาบันรัฐอ่อนแอในระยะยาว ส่งผลให้ผู้สืบทอดของเขาต้องรับช่วงต่อองค์กรของรัฐที่ขาดความเข้มแข็ง
บาชาร์ อัล-อัสซาด : ผู้สืบทอดลัทธิบูชาบุคคล
ฮาเฟซเป็นผู้นำที่นำพรรคบาธขึ้นสู่อำนาจและสร้างระบอบเผด็จการ ยึดมั่นในอุดมการณ์แบบสังคมนิยมอาหรับ บาชาร์ซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 2 ไม่ได้ถูกคาดหวังให้สืบทอดตำแหน่งตั้งแต่ต้น เขาศึกษาด้านจักษุวิทยาในลอนดอน และดูเหมือนจะใช้ชีวิตในเส้นทางอาชีพธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเมื่อพี่ชายของเขา "บาสเซล อัล-อัสซาด" ซึ่งถูกเตรียมตัวให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1994 หลังจากนั้น บาชาร์จึงถูกดึงตัวกลับประเทศเพื่อเข้ารับการฝึกทางทหารและการเมืองอย่างเข้มข้น ในปี 2000 หลังการเสียชีวิตของบิดา รัฐสภาซีเรียรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีให้ต่ำลงจาก 40 ปี เหลือ 34 ปี เพื่อให้บาชาร์สามารถขึ้นสืบทอดตำแหน่งได้ทันที
ในช่วงเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่ง ผู้นำประเทศตะวันตกและนักวิเคราะห์หลายคนมองบาชาร์ว่า เป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่อาจนำพาซีเรียไปสู่ยุคที่มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการเมือง ภาพลักษณ์ของเขาและภรรยา "อัสมา อัล-อัสซาด" ผู้มีพื้นเพเป็นชาวซีเรียแต่เติบโตในลอนดอน ช่วยเสริมสร้างความคาดหวังเหล่านี้
แต่บาชาร์กลับเลือกที่จะยึดมั่นในแนวทางแบบเผด็จการเช่นเดียวกับบิดา เสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มติดอาวุธ เช่น เฮซบอลเลาะห์ และ ฮามาส ซึ่งทำให้ประเทศตะวันตกเริ่มมองเขาในแง่ลบ
วิกฤตการณ์ Arab Spring รัฐบาลจัดการประชาชน
วิกฤตการณ์ใหญ่ในยุคของบาชาร์เกิดขึ้นในปี 2011 การลุกฮือของประชาชนในช่วง Arab Spring ประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและการปฏิรูป แต่รัฐบาลของบาชาร์กลับเลือกตอบโต้ด้วยกำลังและการปราบปรามที่รุนแรง
การกระทำของเขาทำให้ซีเรียเข้าสู่สงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ฝ่ายต่อต้านรวมตัวเป็นกองกำลังติดอาวุธ ขณะที่รัฐบาลใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างไม่ยั้งมือ ทั้งการปิดล้อมเมือง การใช้ระเบิดถัง และการใช้อาวุธเคมีต่อพลเรือน
ในปี 2013 องค์การสหประชาชาติรายงานว่ามีการใช้อาวุธเคมีที่มีพิษร้ายแรงในย่านชานเมืองของดามัสกัส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาคมโลกเรียกร้องให้ บาชาร์ อัล-อัสซาด ยุติการใช้อาวุธเคมี แต่รัฐบาลซีเรียปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
สงครามกลางเมืองซีเรียยืดเยื้อเป็นเวลากว่า 13 ปี ทิ้งร่องรอยความเสียหายทั้งในด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ ประเทศสูญเสียประชากรจำนวนมาก UN ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 300,000 คน ประชากรกว่า 7,000,000 คน ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศ และอีกกว่า 6,000,000 คน ลี้ภัยในต่างประเทศ สงครามทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลาย เมืองใหญ่ถูกทำลาย และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญพังพินาศ
เมื่อถึงปี 2014 บาชาร์จัดการเลือกตั้งที่ถือว่าเป็นการแสดงละครภายในประเทศ เพราะการเลือกตั้ง จัดขึ้นในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และยังได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและอิหร่าน ในการคงอำนาจของรัฐบาล
นักวิเคราะห์หลายคนยืนยันว่า บาชาร์ไม่สามารถจะรักษาอำนาจในซีเรียได้โดยลำพัง เขาต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอก โดยเฉพาะจากรัสเซียและอิหร่านในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองยืดเยื้อ ที่มีผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม
ในช่วงปลายการปกครองของเขา รัสเซียเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือรัฐบาลของอัล-อัสซาด ในการต่อสู้กับฝ่ายกบฏ ซีเรียได้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกแบ่งแยก โดยมีเขตอำนาจต่าง ๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของหลายประเทศ รวมทั้งรัสเซียและอิหร่าน ขณะที่กลุ่มกบฏและ ISIS ต่างแย่งชิงพื้นที่ในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ
ในที่สุด บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้สูญเสียอำนาจจากการที่เขาไม่สามารถรักษาความมั่นคงและการควบคุมภายในประเทศได้ จากผลกระทบจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อเป็นเวลาหลายปี การทหารและการสนับสนุนจากภายนอกที่มีความสำคัญทำให้เขาสามารถอยู่รอดได้จนถึงช่วงปลายของอำนาจ แต่อย่างไรก็ตาม ซีเรียยังคงอยู่ในสภาพของการแตกแยกและเป็นรัฐล้มเหลว
ที่มา : CNN, BBC, Indianexpress, Aljazeera, AP
อ่านข่าวอื่น :
สหรัฐฯ ตรึงค่าหัวผู้นำกลุ่มกบฏซีเรีย 10 ล้านดอลลาร์