รัฐบาลเปย์หนักรักทุกคน ควักงบประมาณแจกเงินหมื่น-จ่ายเงินพัน โดยเงินหมื่น ซึ่งขณะนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จ่ายล็อตแรกให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการไปแล้ว ล็อตต่อไปจะแจกให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คาดมีจำนวน 3,000,000 คน
โดยจะมีประกาศชื่อผู้ผ่านเกณฑ์ ภายในเดือน ธ.ค.2567 และอาจโอนเงินได้เร็วก่อนสิ้นปี "จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์" รมว.คลัง ระบุผู้ที่เข้าข่ายได้สิทธิ์ต้องมีเงินเดือนไม่เกิน 70,000 บาท และเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท
"ระหว่างนี้ ขอให้ผู้มีอายุ 60 ปี ที่ลงทะเบียน "ทางรัฐ" ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์ กับหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ดำเนินการได้ ที่สถาบันการเงิน หรือ ตู้เอทีเอ็ม ที่มีระบบยืนยันตัวตน ได้ทั่วประเทศ หากประกาศรายชื่อผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติแล้ว พบข้อมูลไม่ถูกต้องสามารถอุทธรณ์สิทธิ์ได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยผู้ได้รับเงิน 10,000 รอบผู้สูงอายุ เฟส 2 จะเป็นการแจกเงินสด รอบสุดท้าย"
ส่วนกระทรวงเกษตรฯ ไม่น้อยหน้า "เอกภาพ พลซื่อ" โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจ้งว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.67 นี้ คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต จะเสนอการช่วยเหลือชาวนาในโครงการช่วยสนับสนุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวเป็น 1,000 บาท/ไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่
เนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ เห็นว่า หากช่วยเหลือ 1,000 บาท/ไร่ ตามเดิม เกษตรกรรายย่อยที่มีที่นาเพียง 5 ไร่ ก็ยังจะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/ครัวเรือน แต่หากปรับมาเหลือ 500 บาท/ไร่ จะได้รับการช่วยเหลือเพียง 2,500 บาท/ครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือ และกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย
มติล่าสุด คือ เสนอเงินช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ วงเงิน 3.8 หมื่นล้านบาท
มาต่อที่กองทัพเรือ ซึ่งกำหนดให้ปีหน้าเป็นปี Safety Navy 2025 "บิ๊กแมว" พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือบอกในงาน ทร. ครบรอบ 118 ปี ว่าจะเน้นเรื่องการทบทวนองค์ความรู้ของแต่ละหน้าที่ทั้งการฝึกทบทวนของหน่วยทางบก จนระดับกองเรือเพื่อให้เกิดความพร้อม ของหน่วยกำลังรบหลัก เนื่องจากเรือขนาดใหญ่มีอายุค่อนข้างมาก หน่วยที่เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงจึงต้องมาดูอุปกรณ์ เครื่องมือและความพร้อมของเรือ
ส่วนการเดินหน้าโครงการจัดหาเรือฟริเกต 2 ลำ ในงบประมาณปี 2569 เป็นความจำเป็นที่ต้องจัดหา โดยได้ให้ทีมงานไปทบทวนกำลังรบของกองทัพเรือทั้งหมด ในปัจจุบันมีเรือฟริเกตหลัก และสมรรถนะเทียบเท่ารวม 4 ลำ ซึ่งมีเรือหลวงภูมิพลลำเดียวที่อายุน้อยกว่า 10 ปี จึงจำเป็นต้องจัดหาเพิ่มเติม เพื่อให้มีกำลังรบพอเพียงในอนาคตข้างหน้า
ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณที่จะได้รับด้วย เนื่องจากราคาค่อนข้างสูง จึงต้องทยอยจัดซื้อ คาดว่าในระยะที่ 1 จะจัดหาครั้งละ 2 หรือ 3 ลำ และพักไปอีกระยะหนึ่งจึงค่อยจัดหาเพิ่มเติมใหม่อีก 2-3 ลำ
"เรื่องเรือฟริเกต ก็ต้องบอกกับรัฐบาลว่า เรามีความจำเป็นต้องจัดหา ความต้องการของกองทัพเรืออย่างน้อย 2 ลำ ถ้าได้ 3 ลำ ก็จะดี แต่อยู่ที่รัฐบาลจะเห็นใจแค่ไหน และมีกรอบงบประมาณเพียงพอหรือไม่" ผบ.ทร.กล่าว
ขณะที่กองทัพฟ้า เตรียมพร้อม ในการจัดตั้งกองทัพอวกาศ เพื่อรองรับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ โดยจะเปลี่ยนชื่อจาก กองทัพอากาศ (Royal Thai AirForce) เป็นกองทัพอากาศและอวกาศ ( Royal Thai Air and Space Forces)
เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2567 พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ แถลงหลังประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2568 ถึงการปรับโครงสร้างกองทัพอากาศ ตามที่ "บิ๊กอ็อบ" พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้สั่งการ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ถึงแนวนโยบายปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางอวกาศกว่า 29,000 ล้านบาท/ปี ที่มีการสื่อสารและถ่ายทอดสัญญาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ 35,600 กิจการ มีการจ้างงาน 1.6 ล้านคน
โดยกองทัพอากาศ เตรียมจัดตั้ง ศูนย์ประสานงานการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางอากาศและอวกาศ ให้เป็นหน่วยขึ้นตรงของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพอากาศ (ศปก.ทอ.) ซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้บัญชาการทหารอากาศ ตั้งแต่ 1 เม.ย.2568 โดยมีเสนาธิการทหารอากาศเป็นผู้กำกับดูแล เพื่อให้เป็นหน่วยประสานงานทั้งภายในและนอก ทอ. สำหรับการปรับโครงสร้างที่ต้องทำควบคู่ในปี 2568 คือ
- จัดทำร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อเปลี่ยนชื่อ "กองทัพอากาศ" เป็น "กองทัพอากาศและอวกาศ" โดยเมื่อสภากลาโหมเห็นชอบแล้วจะนำร่าง พ.ร.บ. เข้าสู่การพิจารณาของสภาต่อไป
- กองทัพอากาศ พิจารณาจัดทำร่าง พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางอากาศและอวกาศ เพื่อจัดตั้ง "ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางอากาศและอวกาศ" แบบ ศร.ชล. ของกองทัพเรือ เพื่อปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่น
โดยร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ จะจัดทำขึ้นในปีงบประมาณ 2568 เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯ และการตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญ ว่า พ.ร.บ. ดังกล่าวไม่ขัด รธน. ภายในปี 2569 จากนั้นเป็นขั้นตอนนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดจะใช้ระยะเวลา 3 ปี หรือราวปี 2571
อ่านข่าว :