เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ปธน.สี จิ้นผิง ของจีน เข้าพบกับ ปธน.โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่กำลังจะหมดวาระ ในการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (APEC) ซึ่งจัดขึ้นที่ลิมา ประเทศเปรู โดยผู้นำทั้งสอง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
การพบปะครั้งนี้เป็นการสรุปความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศในช่วงการดำรงตำแหน่งของไบเดน ซึ่งมีทั้งช่วงเวลาที่ร่วมมือกัน เช่น การแก้ปัญหายาเสพติดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วงเวลาที่เผชิญความตึงเครียด เช่น การแข่งขันด้านการค้าและการตอบโต้ทางทหารในภูมิภาค
โดยที่ ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่าจีนพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ขยายความร่วมมือ และจัดการความขัดแย้งอย่างเหมาะสม
ขณะที่ไบเดนกล่าวถึงการบริหารความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจว่า การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ควรนำไปสู่ความขัดแย้ง หน้าที่ของเราคือการรักษาความสัมพันธ์ที่มีเสถียรภาพ ซึ่งเราทำได้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในยุคของไบเดน ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ได้ไร้ซึ่งปัญหาแต่อย่างใด เช่น กรณีบอลลูนสอดแนมของจีนที่บินเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ และการซ้อมรบของจีนใกล้ไต้หวัน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เดินทางเยือนเกาะดังกล่าว
"ทรัมป์" อนาคตแห่งความไม่แน่นอนที่ (จีน) รออยู่
ในอีก 2 เดือนข้างหน้า สหรัฐฯ จะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ซึ่งเคยเป็นประธานาธิบดีในปี 2017–2021 บอนนี เกลเซอร์ จาก German Marshall Fund ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศอาจเผชิญความท้าทายอีกครั้ง
ทรัมป์เคยดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อจีน โดยระบุว่าจีนเป็น "คู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์" และกำหนดนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอย่างหนัก รวมถึงการกล่าวหาจีนในประเด็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด ทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึงร้อยละ 60 พร้อมแต่งตั้งบุคคลที่มีจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีนในตำแหน่งสำคัญด้านการต่างประเทศและกลาโหม
เกลเซอร์ยังระบุว่าจีนอาจเตรียมเจรจากับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ในช่วงต้น แต่ในขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมตอบโต้หากสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินนโยบายที่กระทบต่อจีน
จีนอาจกังวลว่าพวกเขาไม่มีช่องทางลับที่เพียงพอในการส่งอิทธิพลต่อนโยบายของทรัมป์ ซึ่งทำให้การบริหารความสัมพันธ์ครั้งนี้ท้าทายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การกลับมาของทรัมป์ ยังอาจส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในวงกว้าง โดยเฉพาะในประเด็นไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นเส้นแดงที่ไม่ควรละเมิด
ในยุคไบเดน สหรัฐฯ ยังคงเสริมสร้างพันธมิตรทางทหารในภูมิภาคนี้ เช่น การขยายความร่วมมือกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เพื่อป้องกันความเคลื่อนไหวที่อาจเป็นภัยคุกคามจากจีน
การพบปะครั้งนี้ถือเป็นการปิดฉากยุคไบเดนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่ก็เป็นการเปิดทางสู่ยุคใหม่ที่อาจมีความไม่แน่นอนมากขึ้นในยุคทรัมป์ และจีนย้ำต้องการความสัมพันธ์ที่มั่นคง ขณะที่สหรัฐฯ จะต้องตัดสินใจว่าจะแข่งขันหรือร่วมมือกับจีนในระดับใดในอีก 4 ปีข้างหน้า
อ่านข่าวอื่น :
สาวงาม "เดนมาร์ก" คว้ามง Miss Universe 2024 - "โอปอล สุชาตา" รองอันดับ 3
เปิดคำตอบชิงมง 5 สาวงาม เวที Miss Universe 2024
Miss Universe 2024 รอบตัดสิน! เกาะติดผลเรียลไทม์ "โอปอล สุชาตา" รอง 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024