วันนี้ (11 พ.ย.2567) นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือพอล ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าไปพบกับกลุ่มผู้ต้องขังชายเดินทางมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพว่า เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ประสานมาว่าจะเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหากับ 18 ผู้ต้องขังพร้อมกันในวันนี้ โดยจะเป็นการสอบคำให้การในเบื้องต้น ตัวเองจึงเตรียมข้อมูลมาอย่างครบถ้วน
อ่านข่าว เร่งล่า 5 ผู้ก่อเหตุปล้นไม้พะยูง-ปืน-ไม่ตัดทิ้งคนในเอี่ยว
ส่วนการจะพิสูจน์ข้อกล่าวหาได้นั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า องค์ประกอบของแชร์ลูกโซ่ คือต้องไม่มีธุรกิจอยู่จริง ต้องมีการเอาเงินของลูกค้า เอาเงินของคนใหม่มาจ่ายคนเก่า และต้องไม่มีสินค้า ซึ่งทางฝั่งของตัวเองมั่นใจว่า บริษัทประกอบธุรกิจไม่เข้าองค์ประกอบนี้ วันนี้จึงจะให้ปากคำโดยละเอียด โดยมีความยินดีที่จะเปิดระบบหลังบ้าน และชี้แจงให้ดูว่าเป็นอย่างไร
ส่วนพยานที่จะเข้ามาให้ปากคำ ยืนยันตัวตนส่งมอบให้กับทางดีเอสไอแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทางดีเอสไอขอให้ทำใหม่ เบื้องต้นมีประมาณ 700 คนแล้ว
ส่วนพยานผู้เชี่ยวชาญ นายวิฑูรย์ ขอให้ตัวแทนเข้ามาให้ปากคำให้หมดก่อน เพราะรวบรวมได้จริง มีประมาณ 2,000-3,000 คน แต่จะให้การได้จริงหรือไม่ หรืออาจจะมีการตัดพยานไป
สำหรับประเด็นที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าไปในเรือนจำพร้อมตำรวจกองปราบ นายวิฑูรย์ ระบุว่า โค้ชแลปได้ให้ข้อมูลกับกองปราบไปทั้งหมดแล้ว และก่อนหน้าตัวเองได้ต่อสายให้ตำรวจกองปราบพูดคุยกับภรรยาของโค้ชแลป ยืนยันว่า
ไม่มีตำรวจกองปราบเรียกเงิน 9 ล้านบาทตามที่มีกระแสข่าว
อ่านข่าว "ราชทัณฑ์" สั่งสอบปม นช.แทงกันเสียชีวิต ย้ายผู้ก่อเหตุไปเรือนจำอื่น
ยันไม่มีตร.เรียกประโยชน์บอสพอลในเรือนจำ
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวถึง ความคืบหน้ากรณีมีบุคคลเรียกรับผลประโยชน์จากนายวรัตน์พลว่า จากการสืบสวนสอบสวนคดีมีความคืบหน้าไปมาก คดีนี้มีประเด็นต้องตรวจสอบอยู่ 4 กรณีที่เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ และมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ยังติดในบางจุดที่คำให้การของนายพอล และตัวผู้ถูกกล่าวหาไม่ตรงกัน จึงต้องทำให้ต้องสอบปากคำและขยายผลเพิ่มเติม
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
กรณีที่นายอัจฉริยะ เข้าไปเรียกรับเงิน 9 ล้านบาทจากนายพอล ขณะอยู่ในเรือนจำนั้น จากการสืบสวนสอบสวนพยานทั้งหมด ยืนยันไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปกระทำดังกล่าวอย่างแน่นอน ทนายความของผู้ต้องหาก็ได้ยืนยันมาแล้วว่าไม่มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น
โดยตำรวจจะเรียกนายอัจฉริยะ เข้ามาให้ปากคำในเรื่องดังกล่าวให้มีความชัด เจนมากขึ้น และจะหาหลักฐานเพิ่มเติม ถึงแม้จำเป็นจะต้องไล่กล้องวงจรปิด หรือหลักฐานที่เป็นคลิปวีดีโอเสียงจากญาติใกล้ที่ตอนนี้ติดต่อไม่ได้แล้วก็ตาม เพราะเรื่องนี้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หากพบว่ามีผู้กระทำความผิดให้ข้อมูลเท็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดำเนินการตามกฎหมาย ไม่เว้นแม้แต่ในอัจฉริยะด้วย
อ่านข่าว
“ภูมิธรรม” ยันไม่มีดีลลับกัมพูชา ขอรอผลเจรจาพื้นที่ทับซ้อน