อันเป็นผลจากคลิปเสียงเรียกรับผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้บริหารดิไอคอนกรุ๊ป จนเป็นประเด็นทั้งในสื่อหลักและสื่อโซเชียล ตามด้วยการยื่นหนังสือถึงพรรคพลังประชารัฐให้ขับนายสามารถออกจากพรรคของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดังเมื่อกลางเดือน ต.ค.
ถือเป็นการปิดฉากครั้งที่ 2 กับพรรคพลังประชารัฐ เพราะย้อนกลับไปต้นเดือน พ.ค.2564 กรรมการสอบสวนของพรรคพลังประชารัฐ มีมติเอกฉันท์ปลดนายสามารถออกจากตำแหน่งทั้งหมด ทั้งผู้ช่วยรัฐมนตรียุติธรรม ผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของพรรค กรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล กรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนลักษณะแชร์ลูกโซ่ และห้ามไม่ให้ใช้ตราหรือเครื่องหมายพรรคโดยเด็ดขาด
เป็นผลต่อเนื่องและมาตรการลงโทษของ พปชร. จากมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังย่านหัวหมากเปิดประเด็นการเข้าเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ นักศึกษาระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เข้าเรียนด้วยตัวเอง จนถูกตัดสิทธิ์นักศึกษา มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ก่อนที่สุดท้าย กรรมการสอบวินัยนักศึกษาจะเสนอให้ยุติเรื่อง ท่ามกลางประเด็นข้อสงสัยยังไม่คลี่คลาย ขณะที่นายสามารถระบุว่าผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ไม่มีมูล
ก่อนจะกลับมาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง และค่อยขยับมีบทบาทในกรรมาธิการคณะต่าง ๆ ในสภาผู้แทนราษฎรมากมาย ทั้งที่ปรึกษา กรรมาธิการวิสามัญ และ โฆษก กมธ. ซึ่งล้วนต้องผ่านความเห็นชอบจากพรรคทั้งสิ้น จึงถูกมองว่า น่าจะมีแบ็กอัปดีคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ขณะที่บทบาทในพรรคก็ขยับขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในระหว่างสาย "ลุงป้อม" กับสาย "ผู้กอง" ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคในขณะนั้น ที่ฝ่ายหลังนำพาลูกพรรคที่เป็น สส. ราวครึ่งหนึ่งของพรรค หักดิบเทพรรค "ลุงป้อม" ไปร่วมรัฐบาล จึงเหลือบุคคลกรแถว 2 ที่มีศักยภาพพอจะขึ้นมาทดแทนผู้กองและแกนนำในพรรคได้ไม่กี่คน เท่ากับเปิดโอกาสให้นายสามารถ และเขาได้ทำหน้าที่ปกป้อง "ลุงป้อม" อย่างเต็มที่
รวมทั้งกรณีคลิปเสียง "คล้ายลุงป้อม" ที่ถูกสื่อบางสำนักนำมาเปิดรวดเดียว 4 คลิป โดยอ้างว่า เป็นเสียงเอไอเลียนแบบเสียง "ลุงป้อม" จึงได้ใจหัวหน้าพรรคไปมากโข
ความจริงจะถูกขับออกจากพรรคหรือไม่ ก็แทบไม่มีผลอะไรกับตัวเขา เพราะไม่ได้เป็น สส. และตำแหน่งรองโฆษกพรรคได้โดนถอดไปแล้วก่อนหน้านี้ บทลงโทษจากการถูกขับออกจากพรรค ไม่ได้มีผลต่อเรื่องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง สามารถไปอยู่กับพรรคการเมืองอื่นได้ หรือตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเองเพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองต่อไปได้
เช่นเดียวกับมุมมองของ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต นักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ที่ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ไม่ได้มีผลต่อตะแนนนิยมของ "ลุงป้อม" และพรรคพลังประชารัฐมากนัก เพราะเป็นปกติและแนวโน้มคะแนนนิยมจากผู้คนในขั้วอนุรักษ์นิยม ก็ไม่ได้เทไปที่ "ลุงป้อม" และ พปชร. มาแต่แรก
แต่ผู้นำตัวจริงของขั้วนี้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ที่ได้คะแนนนิยมของพรรคจำนวนมาก จนได้ สส.บัญชีรายชื่อถึง 13 คน เทียบกับพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ สส.บัญชีรายชื่อเพียง 1 คน แม้ปัจจุบัน พล.อ.ประยุธ์จะวางมือจากเวทีการเมืองไปแล้ว แต่คะแนนนิยมในตัวนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้า รทสช. ตัวแทนของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เริ่มขยับขึ้น
อีกทั้งหากมองข้ามช็อตไปถึงเลือกตั้งครั้งหน้า โอกาสจะประสบความสำเร็จมีน้อยมาก
แต่การลาออกของนายสามารถ ก็ช่วยให้ พปชร. ลดแรงกดดันจากสังคมและแฟนพันธุ์แท้การเมืองได้ระดับหนึ่ง อีกทั้งอาจช่วยให้ "ลุงป้อม" ไม่ต้องลำบากใจมาก เมื่อเทียบกับต้องให้ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ที่มี "ลุงป้อม" นั่งหัวโต๊ะต้องลงมติ
ที่สำคัญ ยังช่วยลดข้อครหาว่ามี "เทวดา" ที่บ้านป่ารอยต่อไปเกี่ยวข้องกับดิไอคอนกรุ๊ปด้วย
แต่ที่เป็นผลเสียสำคัญ คือไม่ได้มีการพิสูจน์ หรือมีการยอมรับว่า คลิปเสียงที่ปรากฏเป็นของจริงหรือไม่ อย่างไร เว้นแต่จะมีการต่อยอดในทางคดีโดยดีเอสไอนำไปขยายผลต่อ
อ่านข่าวอื่น :
DSI รับดิไอคอนเป็นคดีพิเศษชี้เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ - ยึดรถหรูผู้ต้องหาเพิ่ม