1.จุดเริ่มต้นของสงคราม
การโจมตีเริ่มต้นในค่ำคืนวันที่ 7 ต.ค.2566 โดยกลุ่มฮามาส ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ฮามาสเปิดฉากด้วยการยิงจรวดหลายพันลูกเข้าไปในอิสราเอล รวมถึงการบุกผ่านพรมแดนไปยังหลายเมืองในอิสราเอล การโจมตีนี้ไม่เพียงแต่สังหารพลเรือนกว่า 1,400 คนในขณะนั้นในทันที อีกทั้งยังจับตัวประกันประมาณ 250 คน แต่ยังสร้างความตกใจทั่วโลก
เนื่องจากฮามาสสามารถบุกเข้าไปได้อย่างรวดเร็วและกระจายวงกว้างเกินคาด เหตุการณ์นี้จุดชนวนให้รัฐบาลอิสราเอลประกาศ "ภาวะสงคราม" เกิดการตอบโต้ทางทหารอย่างรุนแรง การปะทะครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นผลสะสมจากความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายที่ยืดเยื้อยาวนานและความล้มเหลวในการหาทางออกทางการทูตที่ยั่งยืนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
2.อิสราเอลประกาศล้างบางฮามาส
อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการโจมตีกลับกลุ่มฮามาสทันที โดย เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล สั่งเปิดปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่รวมทั้งการโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วงเพื่อทำลายฐานที่มั่นของฮามาส ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่พลเรือนในกาซา การโจมตีเหล่านี้มีเป้าหมายหลักในการทำลายอุโมงค์ใต้ดิน คลังอาวุธ และเครือข่ายการสื่อสารของฮามาส
อิสราเอลระบุว่า การโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดิน ต้องการล้างบางกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก แต่ขณะเดียวกัน การโจมตีก็ทำให้ประชาชนพลเรือนในกาซาได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก มีระเบิดในเขตที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียบ้านเรือนและมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ก็มีการประณามจากนานาชาติถึงผลกระทบต่อชีวิตของพลเรือนในกาซาที่เป็นผลจากการโจมตีทางทหารของอิสราเอลครั้งนี้
3.ตาย เจ็บ สูญหาย ไร้ที่อยู่ นับล้าน
ความล้มเหลวที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้เปิดทางไปสู่ความรุนแรงของภูมิภาคที่ดูจะไม่มีวันสิ้นสุดในกาซา ครบรอบ 1 ปีมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 41,500 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กมากกว่า 16,000 คน ผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 100,000 คน และมีผู้สูญหายที่คาดว่าเสียชีวิตใต้ซากปรักหักพังมากกว่า 10,000 คน ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในกาซา
ผู้คนราว 1,900,000 คน หรือร้อยละ 90 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเรือนของตนเองและผู้คนอีกเกือบครึ่งล้านคน ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของกาซา เช่น ที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจ ที่ดินทำกิน และกองเรือประมงส่วนใหญ่ถูกทำลายจนสูญสิ้น
4.สงครามทำลายโรงพยาบาลเหลือเพียงครึ่ง
สงครามในกาซาทั้งการโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดิน ทำให้ระบบสาธารณสุขได้รับความเสียหายอย่างหนัก โรงพยาบาลทั้งหมด 36 แห่งในกาซา เหลือเพียง 17 แห่งเท่านั้น ที่ยังพอให้บริการคนไข้ได้บ้าง นอกจากความเสียหายของโรงพยาบาลแล้ว กาซายังเผชิญกับภาวะขาดแคลนยา เวชภัณฑ์ น้ำสะอาด และ อาหาร ทำให้สุขภาพของประชาชนย่ำแย่ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก มีความเสี่ยงสูงต่อโรคระบาดและภาวะขาดสารอาหาร
การขาดแคลนน้ำและการอพยพผู้คนไปยังพื้นที่ที่มีความแออัด ยังทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ เช่น อหิวาตกโรค และ โรคทางเดินอาหาร สถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ ยังสร้างภาระหนักให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เหลืออยู่ ซึ่งต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากอีกด้วย
5.ความท้าทายการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
การปิดล้อมของอิสราเอล ทำให้นานาประเทศส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังกาซายากลำบาก เส้นทางการขนส่งอาหาร น้ำ และ ยารักษาโรคถูกจำกัด ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตที่ถูกปิดล้อมหรือโดนโจมตีอย่างหนัก
ความขาดแคลนดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลพิเศษ ขณะเดียวกัน สหประชาชาติได้พยายามเรียกร้องให้อิสราเอลผ่อนปรนการปิดล้อม เพื่อเปิดทางสำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าการเรียกร้องนั้นเป็นผลสักเท่าไหร่นัก
6.เจรจาปล่อยตัวประกันสำเร็จเพียงครั้งเดียว
การจับตัวประกันถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การต่อสู้ของฮามาสในการสร้างแรงกดดันต่ออิสราเอล ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีทางทหารในฉนวนกาซา ส่งผลให้นานาประเทศเสนอตัวเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อหาทางปล่อยตัวประกันเหล่านี้ รายงานระบุว่า "กาตาร์ และ อียิปต์" เสนอตัวเป็นผู้ประสานงานให้ทั้งอิสราเอลและฮามาส โดยมีบทบาทเป็นตัวกลางสำคัญในการเจรจาเงื่อนไขการปล่อยตัวประกัน
แต่การเจรจาหลายครั้งประสบปัญหา เนื่องจากความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่และความตึงเครียดที่สูงขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนี้ ยังมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติและสภากาชาดสากล (ICRC) เข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของตัวประกันและช่วยเหลือในการเจรจาอีกด้วย
ความสำเร็จในการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ย.2566 หรือ เกือบ 1 เดือนหลังการโจมตี ซึ่งนับเป็นการปล่อยตัวประกันเพียงครั้งเดียวที่เกิดขึ้นตลอด 1 ปีแห่งสงครามครั้งนี้ ฮามาสยอมปล่อยตัวประกันจำนวน 110 คน แลกกับเชลยศึกชาวปาเลสไตน์ 240 คน และอิสราเอลก็ยอมผ่อนปรนให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเข้าไปในกาซาเป็นการชั่วคราว
7. นานาชาติเดินหน้าช่วยแต่ล้มเหลว
นานาชาติเข้ามามีบทบาทในการพยายามระงับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อียิปต์และกาตาร์ เรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเปิดการเจรจาสันติภาพ แต่ความพยายามเหล่านี้กลับล้มเหลว เพราะความไม่ไว้วางใจระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายยังคงอยู่ และทั้งสองต่างยืนกรานในเงื่อนไขของตนเอง
ด้านความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม องค์กรช่วยเหลือระหว่างประเทศ เช่น Médecins Sans Frontières (MSF) และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ (UNRWA) กลับต้องเผชิญอุปสรรคสำคัญในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา เพราะสถานการณ์การสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้การเข้าถึงพื้นที่เพื่อส่งมอบเวชภัณฑ์และความช่วยเหลืออื่น ๆ เป็นไปได้ยาก
8.เด็กเครียดสะสมแม้สงครามสงบ
ผลกระทบทางจิตใจของประชาชนที่เผชิญสงครามในกาซานั้นเป็นปัญหารุนแรง โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจ ทั้งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การทำลายล้างบ้านเรือน และความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญทางจิตจาก Médecins Sans Frontières (MSF) รายงานว่า มีความต้องการนักบำบัดอย่างเร่งด่วน เด็กหลายคนในกาซามีอาการเครียดเรื้อรัง (PTSD) และมีปัญหาด้านการนอนหลับ เพราะกลัวสงครามตลอดเวลา แทบทุกคนต้องเผชิญกับเสียงระเบิดและเห็นภาพการทำลายล้างทุกวัน ความเสียหายทางจิตใจนี้คาดว่าจะยังคงมีผลต่อเนื่องยาวนาน แม้ความขัดแย้งสิ้นสุดลง แต่ความทุกข์ทรมานจะสะสมเพิ่มเรื่อย ๆ
9. ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์
สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสมีผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างกว้างขวางในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมหาอำนาจ เช่น อิหร่าน สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศอาหรับ
"สหรัฐฯ" ให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ ในการป้องกันตนเองจากการโจมตีของฮามาส แต่ขณะเดียวกัน ก็เรียกร้องให้มีการปกป้องชีวิตพลเรือน "อิหร่าน" ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มฮามาส ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าอาจมีบทบาทในการสนับสนุนด้านอาวุธและทรัพยากรให้กับฮามาส ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประเทศอาหรับ เช่น ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ก็อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในปัจจุบัน ทำให้การเจรจาสันติภาพในภูมิภาคนี้ยากขึ้น
10.สงครามครั้งนี้ยังไม่มีวันยุติ
ไม่มีใครที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส จะสิ้นสุดเมื่อใด ดูตามปัจจัยหลายข้อจากสถานการณ์ความรุนแรงระดับภูมิภาคนี้ ความขัดแย้งนี้มีรากฐานจากความตึงเครียดทางประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ในภูมิภาค การเจรจาสันติภาพในอดีตก็มักล้มเหลวเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน
ส่วนองค์กรระหว่างประเทศและประเทศที่มีอำนาจ ก็ได้พยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา แต่การเจรจาเหล่านี้มักเผชิญกับความล้มเหลวเนื่องจากข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกัน เช่น ฮามาสเรียกร้องให้มีการยุติการปิดล้อมกาซา ขณะที่อิสราเอลยืนกรานว่าต้องมีการหยุดการโจมตีจากฮามาสอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน ความรุนแรงทางทหารก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
ครบ 1 ปีแล้ว ความหวังในการยุติสงครามในระยะเวลาอันใกล้ ดูเหมือนจะยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับการเจรจาเพื่อ "สันติภาพ" ในภูมิภาคและชะตากรรมของคนนับล้านในกาซาได้ตอนไหน
อ่านข่าวอื่น :