วันนี้ (26 ก.ค.2567) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนเม.ย. อยู่ที่ 2.4% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนเนื่องจาก 3 ปัจจัยสำคัญ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง
ได้แก่ การส่งออกสินค้ามีสัญญาณขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 2.7% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% จากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญขยายตัวได้ดีขึ้นโดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา จีน และยูโรโซน โดยมีการปรับตัวขึ้นของ GDP ประเทศคู่ค้า 15 ประเทศหลักที่ 3.2% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 3.1%
ภาคการท่องเที่ยวที่โตอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวน และรายได้ที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่าที่คาดการณ์ สะท้อนผลตอบรับที่ดีจากมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) ให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีรายจ่ายต่อหัวสูง
ปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคน ขยายตัวสูงต่อเนื่องที่ 27.9% ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 35.7 ล้านคน
รมช.คลังกล่าวอีกว่า รายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวคาดอยู่ที่ 47,000 บาท/คน/ทริป เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่อยู่ที่ 44,600 บาท/คน/ทริป โดยรวมภาคการท่องเที่ยวทั้งปี 2567 คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 1.69 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.4% จากปีก่อน
และปัจจัยหนุนสุดท้าย คือ การเบิกจ่ายภาครัฐที่ดีกว่าที่คาดการณ์ และมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงท้ายของปีงบประมาณ 2567 โดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ 3.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90% ของงบประมาณทั้งหมดแบ่งเป็นรายจ่ายประจำที่คาดว่าจะทำได้ 99.5% และรายจ่ายลงทุน 57.5% ส่วนรายจ่ายเหลื่อมปีและรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจคาดว่าจะอยู่ที่ 94% และ 95% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 4.5% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 3.5% ส่วนหนึ่งจากรายได้เกษตรกรขยายตัว 8% และภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง (Real VAT) ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้การใช้จ่ายและการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3.6%
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการทางการคลังและมาตรการด้านสินเชื่อและสภาพคล่องของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6%
ขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 0.6% ต่อปี ดุลบริการมีแนวโน้มเกินดุล ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 เกินดุล 11.0 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 2.4% ของ GDP
ทั้งนี้ การประมาณการ GDP ณ เดือน ก.ค. ยังไม่ได้นับรวมผลที่คาดว่าจะได้รับในระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากโครงการ Digital Wallet
โครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีกระทบผลเชิงบวกที่ไม่สามารถคำนวณเป็นเม็ดเงินหรือเป็นตัวเลขได้ แต่มั่นใจว่าส่งผลช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2-1.8% ตลอดช่วงระยะเวลาใช้จ่าย 6 เดือน
ทั้งนี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้า 3% จากมาตรการอื่นๆ ที่รัฐบาลจะเพิ่มเติมลงไป เช่น สินเชื่อซอฟต์โลนออมสิน มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการทางภาษีในการดึงดูดการลงทุน รวมทั้งการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นข้อจำกัด และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เช่น สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน
การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา และความกังวลเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้เกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์หลังมีการซ้อมรบของกองทัพเรือจีน และรัสเซียในบริเวณดังกล่าวซึ่งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยด้วย
อ่านข่าว:
เคาะ 2 ล้านราย ลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” สัปดาห์หน้า
ส่งออกไทยอืด 6 เดือน ขยาย 2 % สนค.ชี้ เหตุการค้าโลกยังป่วน
อสังหาฯ ชะลอ ฉุดราคาที่ดินเปล่าร่วง “REIC” ชี้ผู้ประกอบการเมินซื้อสะสม