คำสั่งยืนประหารชีวิต "บรรยิน ตั้งภากรณ์" อดีต รมช.พาณิชย์ และ อดีต สส.นครสวรรค์ หลายสมัย จากคดีฆาตกรรมอำพราง "นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง" ของศาลฎีกาเมื่อวานนี้ (27 มิ.ย.67) ถือเป็นการปิดฉากคดีฆาตกรรมอำพรางที่ครอบครัว คือ "นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง" ภรรยา และ "นางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ" พี่สาว ของนายชูวงษ์ หรือ "เสี่ยจืด" ใช้เวลาต่อสู้คดี เพื่อทวงคืนความยุติธรรม ให้สามีและน้องชาย มาอย่างยาวนาน
ก่อนศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาเพียงหนึ่งวัน (26 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ทางครอบครัวของ "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ ได้เดินทางไปทำบุญอุทิศครบรอบการเสียชีวิต 9 ปี ให้ที่วัดบรมสถลศรีวิสุทธิโสภณรังสรรค์ หรือ วัดดอน ย่านเขตยานนาวา
มีรายงานระบุว่า การอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งนี้ เป็นการอ่านผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากศาลไปเรือนจำบางขวาง สถานที่คุมขัง "บรรยิน" โดยใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง พิเคราะห์ประเด็นที่จำเลยฎีกามานับสิบประเด็น แต่ศาลเห็นว่าฟังไม่ขึ้นทุกประเด็นพิพากษายืนให้ประหารตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้คดีโศกนาฎกรรมดังกล่าวจะล่วงเลยมานาน หลังจาก "พ.ต.ท.บรรยิน" ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดเกี่ยวกับชีวิต แต่พบว่ามีอีก 2 คดี ที่พัวพันเป็นผลต่อเนื่องกัน
นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือ เสี่ยจืด คดีถูก นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ จัดฉากฆาตกรรมอำพราง
พลิกปูม"เพื่อนรัก" (หลอก) ลวงสังหาร
ย้อนเวลากลับไป เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.58 เป็นวันฉลองการเรียนจบหลักสูตรวิทยาลัยตลาดทุน (วตท.) หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมดื่มสังสรรค์และรับประทานอาหารร่วมกัน ไม่ไกลจากพื้นที่จุดเกิดเหตุนัก พ.ต.ท.บรรยิน และ "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ ไปตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง ย่านศรีนครินทร์ ค่ำวันนั้นเวลาประมาณ 20.11 น. ทั้งคู่ได้ขับรถออกจากสนามกอล์ฟ
พ.ต.ท.บรรยิน ระบุว่า หลังจากขับรถออกจากสนามกอล์ฟ ตั้งใจจะไปส่ง "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ ที่บ้าน ระหว่างทางขับรถด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. เมื่อถึงบริเวณ ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 มีรถยนต์จากฝั่งตรงข้ามวิ่งแซงสวนทางล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถ จึงหักเลี้ยวกะทันหัน หลบไปทางซ้าย รถยนต์กระแทกขอบทางเท้าและพุ่งผ่านรั้วลวดหนาม เข้าไปในที่รกร้างข้างทาง ชนเข้ากับต้นไม้ ทำให้ "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาล ขณะที่พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งเป็นผู้ขับกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
ปมพิรุธนี้นำมาสู่การสืบสวน รื้อคดี เพื่อขยายผลเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เริ่มจาก พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งต่อมาได้ตกเป็นจำเลย ได้อ้างเวลาเกิดอุบัติเหตุ ประมาณ 21.00 น. แต่จากการตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์มือถือของ พ.ต.ท.บรรยิน ระหว่างเส้นทางจากสนามกอล์ฟ-จุดเกิดเหตุ ช่วง ซ. เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 48-50 พบว่า ที่เสาสัญญาณบางโฉลงใน บางนา-ตราด กม.16 ตรงกับเวลาในมือถือ คือ 20.29 น.
ต่อมาในเวลา 21.06 น. ตรวจพบสัญญาณโทรศัพท์ที่เสาส่งสัญญาณซอยรัตนราช บางนา-ตราด กม.17 เสาทั้งสอง ห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กม. และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ยังพบภาพรถยนต์ ขับผ่าน ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนบางนา-ตราด กม.18 ตรงปากทางเข้าออกสนามกอล์ฟ เมื่อเวลา 20.11 น.
นอกจากนี้ยังพบรถยนต์ของนายชาญศักดิ์ คนสนิท พ.ต.ท.บรรยิน ขับผ่านกล้องวงจรปิดเดียวกันในเวลา 20.14 น. ดังนั้นเวลาเกิดเหตุที่แท้จริงจึงไม่ใช่ 21.00 ตามคำให้การ
ขณะที่ภาพจากกล้องวงจรปิด ใกล้กับจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้ พบว่า พ.ต.ท.บรรยิน ขับรถใช้ช่องทางเดินรถที่ 1 จากซ้ายและขับรถที่ความเร็วประมาณ 30 กม./ชม. เท่านั้น มิใช่ความเร็ว 80 กม./ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบการขับรถ พบว่า พ.ต.ท.บรรยิน ใช้ความเร็วรถขณะชนทางเท้า และปะทะกับต้นไม้ที่ความเร็วประมาณ 30 กม./ชม.
หากพลิกความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนจะพบว่า พ.ต.ท.บรรยินและ "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ เคยรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่เริ่มเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เมื่อปี พ.ศ.2556 ต่อมาจึงได้ชักชวนเข้าเรียนที่สถาบันวิทยาการตลาดหุ้น (วตท.) รุ่น 20
พ.ต.ท.บรรยิน เคยให้ข้อมูลว่า ได้ชักชวนนายชูวงษ์ ให้ร่วมซื้อที่ดินติดแม่น้ำ ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ มีข้อตกลงกันว่า ให้นายชูวงษ์ถือหุ้น 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วน พ.ต.ท.บรรยิน 40 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังร่วมกันลงทุนซื้อที่ดิน 1 แปลงที่จ.พิษณุโลก โดยมีโครงการทำธุรกิจร่วมกันถึง 2 พันล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดร่วมกันตั้งพรรคการเมือง ชื่อพรรคว่า "ชูชาติไทย" พ.ต.ท.บรรยิน อ้างว่า จะให้นายชูวงษ์ เป็นหัวหน้าพรรคและ พ.ต.ท.บรรยิน เป็นเลขาธิการพรรค
อาชญากรทิ้งร่องรอย "ผลชันสูตรศพ" เสี่ยชูวงษ์" ฟ้อง
อาชญากร ที่ก่อคดีแม้จะเชี่ยวชาญเพียงใด ก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะทิ้งร่องรอย เมื่อผลการชันสูตรศพ "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ พบบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายพื้นที่ 8.6 ซม. บาดแผลถลอกบริเวณคาง กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หัก
และพบเศษเนื้อสัตว์และผักเต็มกระเพาะอาหาร สาเหตุการตาย คือ เลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นใน สมองบวม จากการถูกกระทบกระแทกด้วยของแข็ง ไม่มีคม แต่รถยนต์คันเกิดเหตุมีเบาะรองศีรษะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจึงไม่น่าส่งผลให้กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หักได้ และสภาพบาดแผลที่พบอันเป็นสาเหตุถึงแก่ความตายไม่สอดคล้องกับลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ยังพบ เศษอาหารเต็มกระเพาะอาหาร แสดงว่า "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ เสียชีวิตหลังจากรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชม. แต่เมื่อ พ.ต.ท.บรรยิน และ เสี่ยชูวงษ์ ออกจากสนามกอล์ฟ เวลา 20.11 น. และเกิดเหตุรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ห่างกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง จึงเป็นไปได้ว่า เสี่ยชูวงษ์ เสียชีวิตก่อนเกิดเหตุรถชนต้นไม้และอาจเกิดขึ้นในระหว่างทาง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกครอบครัวของ "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ ไม่ได้เอะใจ แต่แล้วกลับพบข้อมูลว่า ก่อนที่จะเสียชีวิตเพียง 8 วัน ผู้ตายกลับโอนหุ้นของตัวเอง ให้กับ น.ส.กัญฐณา หรือ "น้ำตาล" อาชีพพริตตี้ จำนวน 228 ล้านบาท และให้กับ "นางศรีธรา"แม่ของ "น.ส.อุรชา"อดีตโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์ เป็นเงิน 40 ล้านบาท ทั้ง ๆ ไม่เคยมีประวัติ สนิทสนมกับบุคคลทั้งหมดมาก่อน
คลี่ปมปริศนา หญิง 3 คน รับโอนหุ้น "เสี่ยจืด"
หลักฐานที่พบว่ามีการโอนหุ้นไปให้บุคคลปริศนา จนนำไปสู่การสืบสวน และพบว่า พ.ต.ต.บรรยิน ได้มีการปลอมลายเซ็นของ "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ ให้กับผู้หญิง 3 คน คือ น.ส.อุรชา หรือ "ป้อนข้าว" อดีตโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์ , "นางศรีธรา" แม่ของ "ป้อนข้าว" อดีตโบรกเกอร์ และ น.ส.กัญฐนา หรือ "น้ำตาล" อดีตพริตตี้และเป็นผู้ที่มีชื่อได้รับการโอนหุ้น จำนวน 9.5 ล้านหุ้น ราคาหุ้นในขณะนั้น รวมเป็นเงินจำนวน 288 ล้านบาท
ในอดีต "น้ำตาล" เป็น พริตตี้ ประจำสนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง และ พ.ต.ท. บรรยิน เคยให้การอ้างว่า "น้ำตาล" มีความใกล้ชิดกับ "เสี่ยจืด" นายชูวงษ์ และตัวเองเป็นคนที่ช่วยปกปิดความสัมพันธ์ใกล้ชิดนี้ต่อครอบครัวนายชูวงษ์
นางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาว ของนายชูวงษ์ (ภาพเก่า)
นอกจากนี้ก่อนเกิดเหตุ ฆาตกรรม พ.ต.ท.บรรยิน ได้รับการมอบหมาย จากนายชูวงษ์ ให้ช่วยทำหน้าที่ บริหารหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากนายชูวงษ์ มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ 3 กลุ่ม (พอร์ต) กองทุนแรก ร่วมทุน กัน ในกลุ่มเพื่อน วปอ. จำนวน 50 ล้านบาท, กองทุน ที่สอง เป็นของนายชูวงษ์ จำนวน 50 ล้านบาท และกองทุน สุดท้ายประมาณ 400 ล้านบาท
พบหลักฐานเดือน ก.พ.58 เจ้าหน้าที่โบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์ AEC ได้รับการยื่นเรื่องการโอนหุ้นจากนายชูวงษ์
5 มิ.ย.58 เจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน ยื่นเอกสารโอนหุ้นให้ฝ่ายปฏิบัติการบริษัทตรวจสอบลายมือชื่อ เพื่อโอนหุ้นไปให้ "ศรีธรา" ซึ่งเป็นแม่ของ "ป้อนข้าว" อดีตโปรกเกอร์ รวมมูลค่า 40 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นบีบีซี 50,000 หมื่นหุ้น, หุ้นซีพีเอ็น 40,000 หุ้น และหุ้นพีทีทีอีพี 60,000หุ้น
8 มิ.ย.58 เจ้าหน้าที่โบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์ AEC โทรศัพท์ ไปสอบถามนายชูวงษ์ ได้รับคำตอบยืนยันทางโทรศัพท์ ว่า บุคคลที่ได้รับโอนหุ้นเป็นญาติ บริษัท AEC จึงส่งเอกสารการโอนหุ้นไปให้ นายชูวงษ์ ในวันที่ 10 มิ.ย.58
ส่วนหุ้น อีเอ ของบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ 9.5 ล้านหุ้น รวมมูลค่าประมาณ 228 ล้านบาท ถูกโอนให้กับ น.ส.กัญฐณา หรือ น้ำตาล ผ่านโบรกเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี โอเอสเค ประเทศไทย จำกัด เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.58 เพียง 4 วันก่อนนายชูวงษ์ ผู้โอนหุ้น เสียชีวิต
หลังจากโอนหุ้นแล้ว เจ้าหน้าที่บริษัท AEC ยังตรวจพบความเคลื่อนไหว ว่า นายชูวงษ์ ได้ขายหุ้นในบัญชีผ่านอินเตอร์เน็ตอีกหลายรายการ และเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อธุรกรรมโอนและซื้อขายหุ้นของนายชูวงษ์ผ่านโบรกเกอร์ เป็นหมายเลขจดทะเบียนในนามนิติบุคคลใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.บรรยิน
คำพิพากษาของศาล พิเคราะห์ว่า น.ส.กัญฐณา และได้ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเพื่อโอนหุ้นของผู้ตายไปยัง น.ส.ศรีธรา และ น.ส.กัญฐณา
ข้อเท็จจริง ฟังได้ว่า เพื่อมิให้ผู้ตายทราบถึงการกระทำความผิดที่จำเลยร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมในการโอนหุ้นของผู้ตายไปให้ น.ส.ศรีธรา หรือ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา จำเลยจึงร่วมกับผู้อื่น วางแผนฆ่าผู้ตาย สร้างเรื่องราวว่าในวันเกิดเหตุ ผู้ตายมีนัดเล่นกอล์ฟกับจำเลยและผู้ใหญ่ที่ผู้ตายเคารพนับถือไว้ ผู้ตายจึงจำต้องไปเล่นกอล์ฟด้วยโดยไม่อาจปฏิเสธได้
"ดิ้นหนี"ก่อคดีใหม่ อุ้มพี่ชายผู้พิพากษา-แหกหักเรือนจำ
ในช่วงระหว่างถูกดำเนินคดี "บรรยิน" พยายามดิ้นรนเพื่อหนีความผิด และกลับก่อคดีที่ 2 คือ คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 2 ก.พ.63 "บรรยิน" วางแผนกับ ทีมงานอุ้มรวม 6 คน เตรียมอุปกรณ์ เช่น น้ำมัน ยางรถยนต์ สังกะสี อิฐบล็อก ฯลฯ ไปเผาทำลายศพนายวีรชัย พี่ชายของ น.ส.พนิดา ผู้พิพากษา ผู้พิพากษา ที่เขาใบไม้ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
นายวีรชัย ถูกจับ(ลักพาตัว) ไปเพื่อบีบบังคับ "น.ส.พนิดา" ที่พิจารณาคดีฉ้อโกงหุ้น เสี่ยชูวงษ์ โดยนายวีรชัย ถูกนำตัวไปกักขังที่บ้านพักที่ใช้สำหรับหาเสียงเลือกตั้ง ที่ อ.ตาคลี ขณะลักพาตัว นายวีรชัยดิ้นรนขัดขืนในรถยนต์ แต่ถูกทีมอุ้มหันไปทำร้ายร่างกาย จนกระทั่งเสียชีวิต ทีมอุ้มทั้งหมด จึงนำตัวนายวีรชัย ไปเผาอำพรางคดี
เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาที่ฆ่า นายนายวีรชัย พี่ชายผู้พิพากษา ที่เขาใบไม้ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เมื่อปี 2563
คดีเก่ายังไม่จบ แม้ตัวจะอยู่ในเรือนจำ แต่ "บรรยิน" ก็ยังดิ้นรนที่จะได้อิสรภาพ หลังจากรู้จักกับ "โจ" ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ ในปี 2563 เขาวางแผนให้ทนายส่วนตัว ติดต่อทนายอีกคนหนึ่งให้ประกันตัว "โจ" ออกไปจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
และให้ช่วยเหลือโดยการชิงตัว "บรรยิน" ออกจากคุก และหาคนมาวางระเบิดด้านข้างเรือนจำ เพื่อให้เสาธงชาติ ล้มลงกลางลานสนามหญ้า เพื่อจะปีนเสาธงหนีข้ามออกจากกำแพงเรือนจำ และเมื่อออกมาได้จะมีเฮลิคอปเตอร์มารับตัวอีกที รวมทั้งแผนสุดท้าย คือ ให้ชิงตัว "บรรยิน" ในวันถูกนำตัวไปพิจารณาคดีที่ศาล
แต่บังเอิญ "แผนแตก" เสียก่อน ทุกอย่างล้มเหลว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รู้ถึงความพยายามก่อการณ์ "บรรยิน" จึงเป็นนักโทษเด็ดขาด และถูกแยกขังเดี่ยว ย้ายเข้าไปอยู่ "บางขวาง" เรือนจำความมั่นคงสูง จนถึงขณะนี้
รายงานโดย : คณิศ บุณยพานิช บรรณาธิการบริหารด้านข่าวสืบสวน
อ่านข่าว : ตามรอย "ลิซา" แห่เช็กอิน มีม ROCKSTAR เยาวราช
จับอีก 1 คนไทยตัดไม้หอมป่าเขาใหญ่-เล็งขอทหารช่วยปราบ
ศาลฯสั่งจำคุก 1 ปี "จิรัฏฐ์" รอลงอาญา คดีหมิ่นฯ "พล.อ.อ.ธเรศ "