เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.เพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม วาระที่ 2-3 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 130 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง และงดออกเสียง 18 เสียง โดยไม่มีการแก้ไข
ทำให้กลุ่ม LGBTQ+ ภาคประชาชนและรัฐบาลต่างจัดงานเฉลิมฉลอง รวมถึงนานาชาติที่ร่วมแสดงความยินดีกับประเทศไทย
อ่านข่าว : "กม.สมรสเท่าเทียม" ผ่านแล้ว สร้างประวัติศาสตร์ชาติแรกอาเซียน
"มาร์ค กู๊ดดิ้ง" เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย โพสต์คลิปในบัญชีโซเชียลมีเดีย พร้อมติด #สมรสเท่าเทียม โดยระบุว่า ขอแสดงความยินดีที่รัฐสภาไทยผ่าน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ซึ่งจะทำให้คู่รักได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมาย และตนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีประสบการณ์ตรง
ส่วนสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย โพสต์ภาพบรรยากาศการเข้าร่วมกิจกรรมที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมระบุว่า เป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง เมื่อประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียและประเทศแรกในอาเซียนที่รับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกันตามกฎหมาย
เช่นเดียวกับสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความ "แสดงความยินดีอย่างสุดซึ้งกับชาวไทย" พร้อมระบุว่า แม้ว่าจะยังไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้าย แต่ก็นับว่าเป็นหมุดหมายสำคัญไปสู่การยอมรับและยกย่องความรักในทุกๆ รูปแบบ และขอเดินเคียงข้างประเทศไทยบนเส้นทางสู่ความก้าวหน้าและการไม่แบ่งแยก
เพจเฟซบุ๊กของสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย โพสต์ระบุว่า เฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้กับประเทศไทย ในก้าวย่างสู่ความเท่าเทียม ความครอบคลุม และความรักทุกรูปแบบ
ขณะที่เว็บไซต์สำหรับการค้นหายอดนิยมอย่างกูเกิล (Google) ขึ้นข้อความในหน้าเว็บไซต์ ว่า "Google ร่วมยินดีกับร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย"
อ่านข่าว : โซเชียลยินดี "สมรสเท่าเทียม" ทุกเพศเท่ากัน
ส่วนสื่อต่างชาติก็ให้ความสนใจข่าวนี้เช่นกัน โดยสำนักข่าว CNN ขึ้นพาดหัวว่า ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกันอย่างถูกกฎหมาย หลังจากที่วุฒิสภาเห็นชอบร่างกฎหมายความเท่าเทียมในการแต่งงาน
ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า นักเคลื่อนไหว LGBTQ+ ในประเทศไทยได้ต่อสู้มานานกว่าทศวรรษเพื่อสิทธิการแต่งงาน แม้ว่ากฎหมายไทยจะปกป้องกลุ่ม LGBTQ+ จากการเลือกปฏิบัติมาตั้งแต่ปี 2558 แต่ความพยายามที่จะกำหนดสิทธิการแต่งงานอย่างเป็นทางการก็ได้หยุดชะงักลงไป
ส่วนสำนักข่าว ABC News ออสเตรเลีย วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่หลังจากนี้ไทยจะเป็นฮับหลังเกษียณสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ จากทั่วโลกและดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ เพราะประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับ LGBTQ+ เนื่องจากวัฒนธรรมของคนไทยค่อนข้างยืดหยุ่น
อ่านข่าว
เสียงสะท้อนความหลากหลาย ปลุกสังคมไทยเปลี่ยนทัศนคติต่อ LGBTQIAN+