ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ดันทุรังไปต่อ “ข้าว 10 ปี” ไม่พ้นฟอกขาวรับ “ยิ่งลักษณ์” กลับ

การเมือง
20 พ.ค. 67
15:40
552
Logo Thai PBS
ดันทุรังไปต่อ “ข้าว 10 ปี” ไม่พ้นฟอกขาวรับ “ยิ่งลักษณ์” กลับ
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
เป็นไปตามคาด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวผลการตรวจข้าว 10 ปี โครงการรับจำนำข้าวจากโกดังที่ จ.สุรินทร์ ปราศจากสารเคมีตกค้าง ไม่มีปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อรา และคุณภาพของข้าวด้านสารอาหารและอื่น ๆ ยังอยู่ครบครัน

หลังจากก่อนหน้านี้ 2-3 วันก่อนการแถลง กลับมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ผลตรวจจากห้องแล็ปปราศจากสารอะฟลาท็อกซิน ปลอดสารพิษตกค้างจากการรมควัน และไม่มี ปนเปื้อนใด ๆ

สอดคล้องกับผลการตรวจจากแล็ปเอกชน โดยอ้างอิงสื่อบางสำนัก ส่งตรวจสอบ ปรากฏว่า ไม่มีปัญหา ไม่มีสารพิษ หรือสารก่อมะเร็งเช่นกัน

ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ระหว่างเดินสายปฏิบัติภารกิจที่ประเทศอิตาลี พูดประสานเสียงกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์สื่อระหว่างอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ยืนยันเป็นข่าวดี เพราะสะท้อนว่าข้าวยังไม่เสีย ไม่มีสารปนเปื้อน จะสามารถขายได้ ทำราคาขึ้นได้ในราคาที่เหมาะสมตามกลไกของตลาด

ทำเอา “อาจารย์อ๊อด” รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มักทำหน้าที่ตรวจสอบในเชิงวิทยาศาสตร์เรื่องสำคัญๆ ที่ผู้คนสนใจ ให้ได้คำตอบที่กระจ่าง

ล่าสุด โพสต์ประกาศยุติตรวจสอบข้าวจากโครงการนี้แล้ว โดยระบุถูกผู้หลักผู้ใหญ่หลายฝ่ายแนะนำ เกรงจะลุกลามกลายเป็นประเด็นการเมือง

ไม่ต้องเสียเวลาตามล่าหาความจริง ก็พอจะรู้แล้วว่า งานนี้อาจารย์อ๊อด เจอกับอิทธิฤทธิ์เข้าให้แล้ว ตามด้วยแรงกดดันจากรอบข้าง เพื่อไม่ให้ผลสอบไปขัดหรือแย้งกับผลแล็ปของทางการเจ้าอื่น

เป็นสัญญาณรัฐบาลเดินหน้าขายข้าวเก่า 10 ปี ที่ยังเป็นปริศนาของหลายฝ่ายต่อไปไม่ล้มเลิก จากนี้ไป เมื่อมีตัวช่วยผลตรวจจากแล็ปทั้ง 2 แห่งแล้ว จะจัดให้มีการประมูลต่อไป โดยให้องค์การคลังสินค้าและกรมการค้าภายในเป็นผู้ดำเนินการ

รัฐบาลหวังจะทำรายได้จากข้าว 10 ปีที่มีการประเมินวงเงินรายได้ประมาณ 200 ล้านบาท ทั้งที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งข้าวลำดับต้นๆ ของโลก เฉพาะปี 2566 ขายได้ 8.76 ล้านตัน เกินเป้า 8 ล้านตันที่กำหนดไว้ ปริมาณเพิ่มขึ้น 13.62 % คิดเป็นมูลค่า 178,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.43 %

ตลาดสำคัญ 5 ลำดับแรก คือ อินโดนีเซีย 16.11 % เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย รองลงมา คือแอฟริกาใต้ 10.10 % อิรัก 9.74 % สหรัฐฯ 8.06 % และจีน 5.38 %

เงินรายได้ 200 ล้านบาท หากเทียบกับตัวเลขมูลค่าส่งออกทั้งหมด 1.78 แสนล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่เล็กน้อยมาก ขณะที่ภาคส่วนต่าง ๆ ได้ออกโรงมาเตือนเรื่องนี้หลายครั้งว่า การขุดเอาข้าวเก่า 10 ปี ซึ่งไม่รู้ว่าข้าวเก่า 10 ปีจริงหรือไม่ มาขายในตลาดโลก จะมีผลต่อตลาดข้าวไทยทั้งระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เท่ากับทำลายภาพพจน์ความน่าเชื่อถือของข้าวไทยอย่างยับเยิน

ยิ่งตอนนี้เป็นยุคสมัยโลกไร้พรมแหน ข้อมูลข่าวสารถึงกันหมด วันก่อนมีสื่อต่างประเทศ รวมถึงสื่อไนจีเรียออกมาเปิดประเด็นเรื่องข้าวเก่าไทย 10 ปีจะส่งออกไปแอฟริกา และไนจีเรียก็หวั่นจะโดนหางเลขด้วย

เพราะไม่ว่าคนประเทศใด ทวีปไหน ๆ ก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ควรทำอะไรที่ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นการด้อยค่าชาวแอฟริกา โดยจะเอาข้าวเก่าค้าง 10 ปีไปขายให้

ลืมนึกว่า หากถูกแอนตี้ไม่ยอมรับ ข้าวไทยถูกเมินแล้วจะเกิดอะไรขึ้น และหากเกิดแล้ว จะใช้เวลาอีกกี่สิบปี จึงจะกอบกู้กลับคืนมาได้

รัฐบาลหรือผู้ได้ประโยชน์จาการประมูลและขายข้าวเก่า 10 ปี อาจหยิบยกประเด็นผลตรวจสอบจากห้องแล็ปว่าไม่มีสารก่อมะเร็ง ไม่มีสารปนเปื้อน

แต่คำถามสำคัญคือเพียงเท่านี้พอหรือไม่ หรือต้องคำถึงคุณคุณภาพและสารอาหารในข้าวเก่าค้าง 10 ปีด้วยว่าเป็นอย่างไร สมควรจะนำไปให้คนกินหรือไม่ และในทางปฏิบัติ ต้องดูองค์ประกอบของข้าวดีมีคุณภาพควบคู่ไปด้วย

ต้องพิจารณาเรื่องสีต้องใส รูปทรงเมล็ดข้าวต้องเรียบ เนียน ไม่มีรอยร้าวในเมล็ดข้าว รสชาติต้องดี ความหอมตามแบบ “ข้าวหอมมะลิไทย” รวมทั้งสารอาหารในข้าวต้องมี ไม่ใช่หวังแค่กินให้อิ่ม

คือคุณลักษณะของข้าวไทย ที่ทำให้คนทั่วโลกยอมรับและชื่นชอบ องค์ประกอบเหล่านี้ เกษตรกร หรือชาวนาที่อยู่กับท้องถิ่นมานาน ย่อมรู้คำตอบชัดเจนแบบจากรุ่นสู่รุ่นอยู่แล้ว ไม่ใช่จากห้องแลป หรือเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในห้องแอร์ ไม่เคยลงมือทำนาเลยสักครั้งชั่วชีวิต

จึงเป็นเดิมพันที่ใหญ่มาก และรัฐบาลต้องพึงตระหนักและขบคิดให้มาก หากยังดื้อดึงเดินหน้าต่อไป ไม่แคล้วจะถูกพ่วงข้อครหาใหญ่ คือ หวังให้ทุกอย่างในโครงการรับจำนำข้าวต้องยุติลง ก่อนน.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ที่ต้องระเห็จระเหินไปอยู่ต่างประเทศอีกคน จะกลับคืนประเทศไทย

ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ข้าวในโครงการรับจำนำข้าวที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ และเป็นเหตุให้เธอต้องหนีออกจากประเทศไทย ก่อนวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง นัดอ่านพิพากษาเพียงวันเดียวนั้น ความจริงแล้ว ไม่ได้เน่าเสีย แต่ยังสามารถขายหาเงินรายได้เข้าประเทศได้อีกต่างหาก

อย่างที่เกริ่นไว้เบื้องต้น อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในประเทศไทย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่เด็ดขาด

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง