แม้จะยังไม่ปิดประตูโอกาสเสียทีเดียว ในฐานะคู่ชิง ผบ.ตร.กรมปทุมวัน สำหรับ“บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ที่ถูกอิทธิพลเสาร์ 5 ทับดาวมฤตยู เจอคำสั่งทางปกครองตามที่กองวินัยฯประมวลเรื่องเสนอกรณี ถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และศาลอนุมัติหมายจับคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ทำให้ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาราชการแทน ผบ.ตร ต้องจรดปากกา เซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว
แต่กว่า “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะต่อสู้คดีความให้พ้นมลทินจากด่านคดีอาญา ก็ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะการต่อสู้คดีต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 5-6 ปี
การถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน” ไม่ต่างจากประกาศิต ที่มีน้ำหนักและเหตุผล ให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รวมพวกอีก 5 คน
ถูกพักราชการตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 3(1) กล่าวคือถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญา โดยผู้กระทำความผิดเป็นข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่และอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชนป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา
แต่กลับต้องหาว่ากระทำผิดทางอาญาเสียเอง ซึ่งเป็นคดีสำคัญ ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนและภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง ถ้าให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดความเสียหายแก่ราชการได้ ประกอบกับได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการสอบสวนพิจารณาที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว
ตามกฎหมาย “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และพวกยังถือว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากศาลยังไม่ได้พิจารณาคดีหรือมีคำพิพากษาถึงที่สุด นอกจากนี้ในทางกฎหมายก็ยังสามารถอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ มีสิทธิชี้แจงข้อเท็จจริงและอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และยังสามารถดำเนินการทางศาลได้อีกหลายวิธี
ทว่าตามหลักการต่อสู้ในชั้นกฎหมาย ปฎิเสธไม่ได้ว่า การเกิดคดีความไม่ว่าจะกับผู้ใดก็ตาม เส้นทางการต่อสู้ต้องใช้เวลายาวนานมาก ตั้งแต่คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ในขณะที่คดีที่รอการชี้มูลความผิดจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ต้องใช้เวลาอีกเช่นกัน และกว่าจะกลับคืนสู่สังเวียนสีกากีคาดว่าคงใช้เวลาอีกไม่น้อย
สำหรับ “บิ๊กโจ๊ก” เกิดปี 2513 ปัจจุบันอายุ 54 ปี และจะเกษียณอายุราชการในปี 2574 ดังนั้น หากดูหนทางการต่อสู้ในคดีความที่เกิดขึ้น อาจจะยืดเยื้อยาวนาน และหนทางก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.ถึงจะไม่ปิด แต่ก็ไม่ได้เปิดกว้าง และไม่ง่ายที่จะผงาดขึ้นมาดังเดิม
คดีที่ทำให้เส้นทางของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สะดุด ไม่ได้มีเฉพาะคดีมินนี่และคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ BNK Master เท่านั้น แต่ 2 คดีดังกล่าวถือว่า หนักหนาสาหัสไม่น้อย ในชีวิตราชการของคนคนหนึ่ง
หลังจากเมื่อวันที่ 4 มี.ค.2567 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติรับคำร้องสำนวนคดี 5 นายตำรวจ พัวพันเว็บพนันมินนี่ ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร.รวมอยู่ด้วย จากคณะพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ไว้พิจารณา ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ประกอบ ม.149 เนื่องจาก เป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งสูงกว่าระดับผู้อำนวยการ และกล่าวหาว่า เป็นการกระทำความผิดร้ายแรง จึงอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.
ส่วนคดีที่ บก.สอท. ตรวจสอบเครือข่ายเว็บการพนัน “มินนี่” นั้น แบ่งออกเป็น 2 สำนวน สำนวนแรก มีผู้ต้องหา 61 คน ทั้งตำรวจและประชาชน มูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท โดย “คดีมินนี่” ในส่วนที่ปรากฏชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น บก.สอท. กล่าวหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
และมาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สิน กรณีพบความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มบัญชีม้าเครือข่ายเว็บพนัน “มินนี่” ซึ่งชุดสืบสวนระบุว่า พบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับบัญชีม้าในครอบครองของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ อดีตรองผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งได้มอบตัวไปแล้ว และให้การปฏิเสธทุกข้อหา
ขณะที่ข้อหา “ฟอกเงิน” คดี BNK Master สืบเนื่องจากการสืบสวนสอบสวนเส้นเงินที่เชื่อมจากคดีที่ สน.เตาปูน ได้เคยขออนุมัติหมายจับคดีเว็บการพนันที่ 4543-4547/2566 ของศาลอาญาไว้แล้ว ต่อมาได้จับกุมตัวผู้ต้องหาบางคนได้ มีนางพิมพ์ (นามสมมุติ) เป็นผู้จัดการเว็บ BNK Master ซึ่งก่อนหน้านี้ มีการยื่นขอออกหมายจับไปเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา
โดยครั้งนั้นศาลอนุญาตออกหมายจับผู้ต้องหา 4 ราย แยกเป็นตำรวจ 3 ราย และพลเรือน 1 ราย และมีการออกหมายเรียก “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถึง 3 ครั้งจนต้องเดินทางไปมอบตัวเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา
นอกจาก 2 คดีดังกล่าวแล้ว ยังมีคดีที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เข้าไปตรวจสอบหลังมีผู้ร้องเรียน พบหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.3 ราย มีพฤติกรรมช่วยเหลือตกแต่งหลักฐานทรัพย์สินของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อประกอบการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
ถือเป็นการสร้างหลักฐานเท็จ แจ้งบัญชีทรัพย์สินให้กันกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยหลักฐานสำคัญที่ทำให้เชื่อว่ามีการสร้างหลักฐานสำแดงทรัพย์สินเท็จ คือ การเช่าซื้อพระเครื่องกันอย่างต่อเนื่องถึง 8 ครั้ง
มูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท และมีการมอบค่านายหน้าให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วย จนนำไปสู่คำให้การของพยานคนสำคัญรายหนึ่ง เป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
แม้วันนี้คำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนจะมีผลแล้วก็ตาม แต่ตามกฎหมายคำสั่งนี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ได้ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 141 ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง
และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์
ถือเป็นเส้นทางชีวิตที่พลิกกลับไป -กลับมาของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่น่าจับตาและน่าติดตามว่า ในที่สุดแล้ว ในยุทธจักรดาวสีเงินของวงการสีกากี นับจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
อ่านข่าวอื่น ๆ
เปิดคำสั่งฉบับเต็ม ! “บิ๊กต่าย” สั่ง “บิ๊กโจ๊ก” พร้อมพวกรวม 5 คน ออกจากราชการ-ตั้ง กก.สอบ
ผลสอบกก.ชี้ "บิ๊กโจ๊ก" ผิดจริงพบหลักฐานเส้นเงินโยงเว็บพนัน
"บิ๊กต่อ" ฟ้องหมิ่นฯ "ทนายตั้ม" ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 10 มิ.ย.นี้