- สอบวินัยร้ายแรง-สั่งออกราชการไว้ก่อน ผอ.รร.เอี่ยวขนยาบ้า
- "เศรษฐา" ถกอาเซียน-ออสเตรเลียชวนลงทุน "แลนด์บริดจ์-EEC"
ภารกิจล่าสุดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง คือ อารักขานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะตลอดทั้ง 3 วัน สำหรับภารกิจ “เที่ยวใต้สุดใจ” ส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคใต้ ซึ่งนายเศรษฐาทำหน้าที่ทั้งนำทัวร์ ช็อป ชิม แชร์ นำเสนอของดีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังเป็น “อัญมณีที่ซ่อนเร้น” หรือ hidden gems
ขณะเดียวกัน “บิ๊กโจ๊ก” ยังคงเป็นหนึ่งใน “ตัวเต็ง” ผบ.ตร.คนใหม่แทนที่ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ที่จะเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย.2567
แต่ดูเหมือนท้องฟ้ายังไม่เปิด เมฆฝนดูยังดูอึมครึมไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา ที่เขาถูกตำรวจไซเบอร์พร้อมอาวุธสงครามครบมือ บุกจู่โจมตรวจค้นบ้านพัก ตรวจหาหลักฐานความเชื่อมโยงกับเว็บพนันออนไลน์มินนี่ ก่อนประชุม ก.ตร.เคาะ ผบ.ตร.เพียง 2 วัน
ผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้น มีการขยายผลและส่งต่อเส้นทางการเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ในปีนี้อีกครั้ง แม้จะได้อาวุโสอันดับ 1 เหนือ รอง ผบ.ตร.และจเรตำรวจแห่งชาติทุกคน ที่อยู่ในข่ายได้รับการเสนอชื่อเป็น ผบ.ตร.
แต่เพราะจ่อจะโดนแจ้งข้อหา ผิดมาตรา 157 และ 149 โดยตำรวจชุดทำคดีนี้ ที่ระบุพบเส้นเงินจากบัญชีม้า โอนเข้าเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง 300 ล้านบาท
กระทั่ง “บิ๊กโจ๊ก” ต้องตั้งโต๊ะแถลงตอบโต้แถมไลฟ์สดแบบตามอำเภอใจ จน ผบ.ตร. "บิ๊กต่อ" ต้องออกกฎเหล็กสกัดไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายมากกว่านี้
จุดเด่นของ “บิ๊กโจ๊ก” คือ ขยันลงพื้นที่ ทำงานที่ได้รับมอบหมาย แต่บางครั้งมีล้ำเส้นเกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีชอบเรียกประชุมตำรวจหลังเลิกงาน หรือเรียกตำรวจจากต่างจังหวัดมาอบรมที่กรุงเทพฯ จนเจอคำสั่งห้ามจาก ผบ.ตร.เช่นกัน
แต่ไม่ได้ทำให้ความขยันของ “บิ๊กโจ๊ก” ลดลง แม้กระทั่งในวันที่สมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา เดินทางเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ก็ยังเห็นการปรากฏตัวใกล้ๆ บ้านจันทร์ส่องหล้า กับภารกิจดูแลงานด้านจราจร ที่เป็นอีกด้านหนึ่งที่ได้รับมอบหมายดูแล
รวมทั้งการปรากฏภาพเจรจากับ น.ส.สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักสิทธิมนุษยชน พี่สาวของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกอุ้มหายไปอย่างไร้ร่องรอยในกัมพูชา ระหว่างดักรอถามสมเด็จฮุน เซน ใกล้ๆ บ้านจันทร์ส่องหล้า สะท้อนให้เห็นลูกขยันของ “บิ๊กโจ๊ก”
ขณะเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า แฝงนัยการทำผลงานให้เข้าตาผู้มีอำนาจ ไม่ต่างจากการทำหน้าที่ดูแลนายกฯ เศรษฐาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้วยลูกขยันนี้เอง ทำให้มีผลงานปรากฏมาอย่างต่อเนื่องนี่เอง ชนิดกูรูทางการเมืองเชื่อว่า จะเป็นแรงส่งสำคัญ และอาจทำให้การเคาะตัว ผบ.ตร.ในปีนี้ ต้องคิดหน้าคิดหลังหลายตลบหลายชั้น
เพราะหาก “บิ๊กโจ๊ก” ถูกมองข้ามหรือโดยละเลย มีแนวโน้มสูงที่จะใช้สิทธิร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งแต่งตั้ง เพื่อขอความเป็นธรรมจากการละเลยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การพิจารณาได้
จะไม่ต่างจากเมื่อครั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงนามโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ เมื่อปี 2554 ยิ่งหากฝ่ายการเมืองมีตัวเลือกอยู่แล้ว ยิ่งจะชัดมากขึ้น
แม้คดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ โยกย้ายนายถวิล ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง จะมีคำพิพากษายกฟ้องปลายเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลเป็นการโยกย้ายตามปกติ แต่ก่อนหน้านั้น ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าวแล้ว
อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย และ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
จึงเป็นความเสี่ยงที่รออยู่เบื้องหน้า หากละเลย ตามความเห็นของอดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นอกจากย้ำจุดยืนเดิม สนับสนุนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.โดยยึดหลักอาวุโสเป็นสำคัญแล้ว ยังพูดชัดเจนว่า
การโดนข้อกล่าวหากับสิทธิการเป็นแคทดิเดต ผบ.ตร.ต้องแยกจากกัน แม้จะโดนคดี ก็เป็นเพียงการกล่าวหา ตราบใดที่ศาลยังไม่พิพากษาถึงที่สุด ถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
ข้อเท็จจริงประการหนึ่ง ที่ปฏิเสธกันไม่ได้ คือหาก “บิ๊กโจ๊ก” ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร. เวลาเกษียณอายุราชการจะเป็นปี 2574 ส่งผลให้ รอง ผบ.ตร. จเรตำรวจแห่งชาติ หรือนายตำรวจอีกจำนวนหนึ่งที่จ่อคิวขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร.หรือ จเรตำรวจแห่งชาติ หากไม่มีเหตุการณ์อันสุดวิสัยเกิดขึ้น นายตำรวจเหล่านี้ จะไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำเบอร์ 1 จนกว่ารอให้ “บิ๊กโจ๊ก” เกษียณ
ทำให้ความพยายามสกัดจากหลายกลุ่มหลายรุ่น เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งน่าสนใจว่า จะทำสำเร็จได้หรือไม่ หรือว่า “บิ๊กโจ๊ก” จะยังคงเป็น “แมว 9 ชีวิต” ฆ่าไม่ตาย หรืออยู่ไปก็เลี้ยงไม่โต
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา