วันนี้ (28 ก.พ.2567) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม หรือ Event Tourism กำลังได้รับความสนใจของนักท่องเที่ยวซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากการจัดกิจกรรมจะส่งผลให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจขึ้น สามารถสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรม และยังเป็นการประชาสัมพันธ์ Soft Power ได้เป็นอย่างดี
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและภาครัฐในการสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมการสร้าง Soft Power ไทย ให้สามารถต่อยอดในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และนำไปสู่การจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม (Event Tourism) เป็นการท่องเที่ยวที่มีพื้นที่กิจกรรมเป็นศูนย์กลางในการรวมตัวกันของชุมชนที่มีความสนใจเดียวกัน ส่งผลให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สามารถสร้างรายได้สู่ชุมชน รวมไปถึงบริเวณโดยรอบ ขนาดกิจกรรมมีตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค ระดับประเทศ ไปจนถึงการจัดกิจกรรมในต่างประเทศ
นักท่องเที่ยวต่างชาติ
แต่ละกิจกรรมจะมีลักษณะเฉพาะของเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งอาจเกี่ยวข้องทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สำหรับประเภทของกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น งานแสดงดนตรี/คอนเสิร์ต งานเทศกาล การแข่งขันกีฬา การประชุม กิจกรรมองค์กร และงานแสดงสินค้า (MICE)
ผอ. สนค. กล่าวเพิ่มเติมว่า รายงาน Event Tourism Market Outlook from 2024 to 2034 ระบุว่า ปี 2566 มูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมทั่วโลกอยู่ที่ 1.56 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 4.1 คาดว่ามูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมทั่วโลกในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นักท่องเที่ยวนั่งช้างไทยชมธรรมชาติ
สำหรับความต้องการในการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมทั่วโลก คาดว่าในช่วง 10 ปี (ปี 2567-2577) จะเติบโตร้อยละ 4.3 ต่อปี และจะมีมูลค่าสูงถึง 2.38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2577
พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับชุมชนที่ตนมีความสนใจ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความชื่นชอบระหว่างกัน
นักท่องเที่ยว
เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคขาดประสบการณ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ปัจจุบันหลายประเทศให้ความสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมเพื่อรองรับความสนใจใหม่ ๆ ของผู้บริโภค
นายพูนพงษ์ กล่าวอีกว่า การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมในการเผยแพร่วัฒนธรรม เช่น เกาหลีใต้ โด่งดังในเรื่องการเผยแพร่ Soft Power จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รัฐบาลเกาหลีใต้กำหนดนโยบายให้ปี 2566 เป็น ปีแห่งการมาเยือนเกาหลี
โดยมุ่งมั่นให้เกาหลีใต้ เป็นมหาอำนาจด้านการท่องเที่ยวผ่านการจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมเกาหลี (K-Culture) ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนำยุทธศาสตร์สำคัญอย่าง Soft Power มาช่วยขับเคลื่อนประเทศ ส่งผ่านกระแสเกาหลี (K-Wave) ไปยังทุกภาคส่วนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
เทศกาลสงกรานต์ไทย
หรือ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม รัฐบาลญี่ปุ่นความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ สถาบันวัฒนธรรม หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานเอกชน จัดมหกรรม Japan Cultural Expo 2.0 เพื่อใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยครั้งนี้ได้นำเสนอในรูปแบบของ Japan Beauty เพื่อดึงดูดผู้ชมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เช่นเดียวกับ สิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีความโดดเด่นทางธุรกิจและการจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬา ในปี 2566 รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดทำโครงการ Singapore Sports Hub ที่มุ่งมั่นให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาของเอเชีย
นอกจากการแข่งขันดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำคัญ สำหรับธุรกิจ MICE และการประชุมระดับโลก ส่งผลต่อการสร้างแบรนด์สิงคโปร์ให้ก้าวไปสู่ระดับโลก รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและธุรกิจในท้องถิ่นโดยรอบด้วยการสร้างรายได้และการจ้างงานให้กับชาวสิงคโปร์
นักท่องเที่ยวทำบุญตักบาตร
สำหรับประเทศไทย มีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวที่สามารถต่อยอดได้ ปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทย 28.04 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 151 สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2 ล้านล้านบาท
จากตัวเลขการท่องเที่ยวที่เติบโต แสดงให้เห็นถึงความต้องการในการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว และไทยเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลกที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเลือกเป็นจุดหมายปลายทาง
สำหรับธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไทย พบว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจบริการอาหาร/เครื่องดื่ม ,ที่พักแรมระยะสั้น ,ธุรกิจการจัดการประชุมและการแสดงสินค้า หรือแม้แต่ธุรกิจด้านการกีฬา ความบันเทิง และนันทนาการที่มีการจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นเพื่อรองรังการท่องเที่ยวของไทยที่ขยายตัวในปีนี้
ผอ.สนค.กล่าวว่า ประเทศไทยยังมีจุดแข็งด้านวัฒนธรรมและประเพณีที่สามารถต่อยอดและผสมผสานไปกับการท่องเที่ยวได้ โดยเฉพาะกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เช่น เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน งานแสดงสินค้าโอท็อป การแข่งขันกีฬามวยไทย เป็นต้น
ทะเลไทย
“ การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม จึงเป็นอีกหนี่งรูปแบบการท่องเที่ยวที่ควรส่งเสริม เนื่องจากเป็นการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการแต่ละชุมชนได้ อีกทั้งสามารถเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะธุรกิจการจัดงาน (Event Business) และเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ Soft Powerของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ตามภาครัฐควรรสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม เช่น พิจารณาจัดการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม 1 งาน 1 จังหวัด เพื่อชูเอกลักษณ์และนำเสนอจุดเด่นของแต่ละจังหวัด การบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานส่วนกลางกับภูมิภาคเพื่อให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง ไม่วาจะเป็น ถนน รถไฟฟ้า ให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวและประชาชน ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดให้เดินทางสะดวก สามารถเข้าถึงกิจกรรมตามพื้นที่ต่าง ๆ ได้ครอบคลุมมากขึ้น
อยากให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจบริการที่มีบทบาทสำคัญมากในด้านการท่องเที่ยวเล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจที่เกิดจากการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม ตลอดจนปรับตัวและปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มและความต้องการของผู้บริโภค
อ่านข่าวอื่นๆ:
ไม่พร้อมเปย์! ค่าครองชีพพุ่งก่อนไม่รอค่าแรง (ไม่)ดีเดย์ 1 มี.ค.
บอร์ดค่าจ้างเคาะสูตรคำนวณใหม่ นำร่อง 10 จว.ขึ้นค่าแรงรอบ 2
"เครดิตบูโร" ชี้หนี้บ้านค้างชำระ 6.1 แสนล้านบาท หวั่นหนี้เสียพุ่ง