วันนี้ (7 ก.พ.2567) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์และการ เมืองพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินเฟ้อในเดือนม.ค. ยังคงติดลบมากขึ้นที่ -1.11% ต่ำที่สุดในรอบ 35 เดือน และติดลบเป็นเดือนที่ 4 ติดกัน ตั้งแต่ ต.ค.-0.31% พ.ย.-0.44% ธ.ค.-0.83% แสดงถึงปัญหาของเศรษฐกิจไทย เป็นภาวะเงินฝืดตามหลักเศรษฐศาสตร์
โดยสวนกระแสกับเงินเฟ้อของโลกที่สหรัฐอเมริกา ยังมีเงินเฟ้อที่ 3.4% ในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา แสดงถึงกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลงมาก ทำให้ราคาสินค้าต้องปรับราคาลดลง เพราะคนไม่มีกำลังซื้อ ไม่ใช่เพราะนโยบายลดราคาพลังงานของรัฐบาลเท่านั้น
การลดราคาพลังงานของรัฐบาล อาจมีส่วนบ้างแต่ไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะการลดราคาพลังงานไม่ได้มีผลมาก เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของเงินเฟ้อ อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง แต่เงินเฟ้อทั่วโลกก็ยังสูงอยู่ ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยอมรับปัญหา เงินเฟ้อติดลบติดต่อกัน 4 เดือนนี้
เรียกร้องธปท.ลดดอกเบี้ย
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวต่ำกว่าที่ ธปท. คาดการณ์มากมาตลอด 10 ปี โดยจะต้องเร่งออกนโยบายทางการเงินเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่ต้องการขยายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่งบประมาณปี 2567 ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาฯ รัฐบาลจึงยังไม่สามารถใช้นโยบายทางการคลังผ่านการใช้งบประมาณได้ ซึ่งกว่าจะใช้ได้ก็น่าจะปลายเดือน เม.ย.ไปแล้ว
ในช่วงเวลานี้นโยบายการเงินของ ธปท. จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากเพื่อประคองและกระตุ้นเศรษฐกิจ ในระหว่างการรองบประมาณ ซึ่งถ้าจะเพียงแต่รอให้งบประมาณให้ผ่านสภาก่อน เศรษฐกิจอาจจะย่ำแย่ทรุดหนัก
ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้ ธปท. เร่งลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งธปท. รับเองว่าสามารถทำได้และจะนำไปพิจารณา ก็อย่าพิจารณานานนัก เพราะยอมรับเองว่าการลดดอกเบี้ยน่าจะช่วยได้บ้าง
นายพิชัย กล่าวอีกว่า หากจะรอให้ ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายโดยจะรอให้ธนาคารกลางของสหรัฐเริ่มลดดอกเบี้ยก่อน คงจะต้องรออีกนานเพราะเศรษฐกิจสหรัฐยังไปได้ดี การขยายตัวในไตรมาสสุดท้ายสูงถึง 3.3% ซึ่งสูงกว่าไทยที่ขยายตัวได้เพียง 1.4 % ในไตรมาสเดียวกันมาก ทั้งๆที่สหรัฐเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว อีกทั้งการจ้างงานในสหรัฐยังเพิ่มขึ้นถึง 353,000 คน ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐคงต้องเลื่อนการลดดอกเบี้ยไปหลังกลางปี 67 อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ธปท. ต้องพิจารณาว่า ธนาคารพาณิชย์ในปีที่แล้วกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น ธนาคารกรุงเทพ กำไร 41,636 ล้านบาท (กำไรเพิ่มขึ้น 42.1%) ธนาคารไทยพาณิชย์กำไร 43,521 ล้านบาท (กำไรเพิ่มขึ้น 15.9%) ธนาคารกสิกรไทยกำไร 42,405 ล้านบาท (กำไรเพิ่มขึ้น 18.55%)
ทั้งนี้กำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากช่วงห่างของดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝากที่มากขึ้น โดย ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ประมาณ 0.25-1.5% แต่ดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 7-8% หรือมากกว่า ซึ่งต่างกันมากดังนั้น ธปท. จึงสามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลงมาได้ และธนาคารพาณิชย์ก็ยังคงมีกำไรมากอยู่ดี
ภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ โดยลดช่วงห่างระหว่างเงินกู้เงินฝากนี้เช่นกัน
อ่านข่าว ลอบบึ้ม-ยิงแฟลตตำรวจ สภ.รือเสาะ เสียชีวิต 1 นาย
ว๊าก ธปท.ตีมึนเมิน-ไม่ขานรับนโยบาย
นอกจากนี้ ในภาวะปัจจุบันการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อนค่าน่าจะช่วยให้การส่งออกที่ปีนี้ คาดกันว่าจะขยายตัวได้ต่ำให้ขยายตัวได้มากขึ้น เหมือนที่ประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จเมื่อปีที่แล้ว จากค่าเงินเยนที่อ่อนลงมาก และน่าจะเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น
อีกทั้งยังน่าจะเป็นแรงจูงใจทำให้การลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้คงไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดเงินเฟ้อเพราะเงินเฟ้อติดลบอยู่แล้ว อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ลดลงมาแล้ว
นอกจากนี้ ธปท.สามารถเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินได้ โดยไม่ต้องให้รัฐบาลและเอกชนต้องมีความเสี่ยงในการกู้เงินจากต่างประเทศ ทั้งความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนและอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศที่สูงกว่าดอกเบี้ยในประเทศ
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศในปริมาณที่สูงมาก กว่า 2.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ที่ธปท. น่าจะนำมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจได้ในภาวะการณ์เช่นนี้
ธปท.น่าจะทราบดี เพราะบุคคลากรของธปท. มีความฉลาดหลักแหลม และมีแนวทางให้เห็นในหลายประเทศแล้ว รวมทั้งสามารถออกนโยบายทางการเงินอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนได้อีก แต่ไม่แน่ใจว่าทำไม ธปท. ถึงไม่ยอมปฏิบัติ
โดยพูดเพียงว่าเศรษฐกิจกำลังไปได้ดี ทั้งที่ไม่เป็นความจริง จึงอยากเรียกร้องให้ ธปท.ดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาล เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยต้องพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้โตตามศักยภาพ ไม่ใช่ลดศักยภาพให้ไทยโตได้เท่านี้ เพราะมิเช่นนั้นประชาชนจะลำบากกันอย่างมาก
ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังผลักดันโครงการใหญ่ๆ เพื่อที่จะช่วยพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนเช่น โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาที่ นายฮุน มาเนต นายกร้ฐมนตรีของกัมพูชา จะเข้าพบเพื่อเจรจากับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
วันนี้ก็หวังว่าการเจรจาจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี เพราะประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างมาก และโครงการใหญ่ๆเหล่านี้จะเป็นการเพิ่มศักยภาพของประเทศไทย
อ่านข่าวอื่นๆ
"มาดามแป้ง" ยืนยันไม่เคยซื้อเสียง เลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล
สหรัฐฯ สอบพบน็อตหาย เหตุโบอิ้ง 737 แม็กซ์ 9 ชิ้นส่วนหลุดกลางอากาศ