วันนี้ (8 ม.ค.2567) รายงานข่าวจากเว็บไซต์ฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า ราคาทองคำในสัปดาห์แรกของปี2567 ปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่าเฟดจะตรึงดอกเบี้ยสูงยาวนาน หลังการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟด การแถลงของประธานเฟดสาขาริช มอนด์ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้เงินเฟ้อชะลอตัวลง และการจ้างงานสหรัฐสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ขณะที่สัปดาห์นี้มีประเด็นที่สำคัญที่น่าติดตาม คือการเลือกตั้งของไต้หวันในวันที่ 13 ม.ค. ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความเสี่ยงด้านภูมิ รัฐศาสตร์ ซึ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน มีตัวแทนพรรคการเมือง 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือฝั่งของรัฐบาลเดิม ที่จะเสนอรองประธานาธิบดีไล ชิงเต๋อ คนปัจจุบัน จากพรรค DPP กับ โหวโหยวอี้ นายกเทศมนตรีไทเป แห่งพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) รวมถึงเคอเหวินเจ๋อ อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไทเป จากพรรค TPP
โพลล่าสุดให้รองประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ จากพรรค DPP มีคะแนนความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง บ่งชี้ความเสี่ยงต่อนโยบายแยกประเทศออกจากจีนอย่างเด็ดขาด เนื่องจากรองประธานาธิบดีไล ชิงเต๋อ จากพรรค DPP มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะมุ่งสนับสนุนให้ไต้หวันพัฒนาไปสู่การเป็นสังคมประชาธิปไตย หรือสรุปได้ง่ายๆว่า มีนโยบายแยกประเทศออกจากจีนอย่างเด็ดขาด และจะมีความใกล้ชิดกับสหรัฐมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
"ทองคำขาขึ้น"คาดปี 67 ฉุดไม่อยู่ แนะนักลงทุนถือยาวข้ามปี
ทองคำฉุดไม่อยู่พุ่ง 250 บาท คาดปี 67 ปรับขึ้น แนะนักลงทุนช้อนซื้อ
เนื่องจากมีความเห็นว่าไต้หวันพึ่งพาแผ่นดินใหญ่มากเกินไป และควรสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับมหาอำนาจประเทศอื่น ๆ โดยตลอดภายใต้ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของพรรค DPP ไต้หวันได้กระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐให้แน่นแฟ้น ทั้งยังสหรัฐได้อนุมัติแพ็กเกจเงินช่วยเหลือทางทหารภายใต้ โครงการจัดหางบประมาณทางทหารแก่ต่างประเทศ (Foreign Military Financing : FMF) มูลค่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,800 ล้านบาท ผ่านโครงการ FMF เป็นครั้งแรก
โครงการFMF เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นโครงการที่สหรัฐจะให้กับประเทศที่สหรัฐรับรองการเป็นเอกราชมีอธิปไตย อีกทั้งประสบวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดในช่องแคบไต้หวันในรอบหลายปี สะท้อนให้เห็นว่าพรรค DPPชัดเจนที่ไม่เห็นด้วยในการที่ให้ไต้หวันรวมกับจีน ขณะที่พรรคก๊กมินตั๋ง (KMT)มีนโยบายที่จะคงสถานะที่เป็นอยู่และสนับสนุนการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ใกล้ชิดกับจีน
อย่างไรก็ตาม ประชาชนในไต้หวันมากกว่า 80% ต่อต้านการรวมประเทศกับจีน แต่ในเวลาเดียวกันไม่มีฝ่ายใดสนับสนุนให้ประกาศเอกราชโดยสมบูรณ์ เนื่องจากการยั่วยุมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการทำสงคราม ซึ่งต้องติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน
หากพรรค DPP ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็จะคล้ายกับรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันไม่ต้องการให้ไตหวันที่จะรวมกับจีน ซึ่งอาจหนุนความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้ จึงนำไปสู่สงครามในวันใดวันหนึ่ง
เนื่องจากฝั่งจีนก็มีความต้องการให้ไต้หวันรวมกับจีน ทั้งนี้เคยมีการคาดการณ์ว่า จีนจะบุกไตหวันอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยคาดการณ์ว่าจีนอาจจะบุกไตหวันอย่างเร็วที่สุดในปี ค.ศ. 2025 การคาดการณ์มาจากหน่วยงานข่าวกรองระดับสูงของสหรัฐ ทั้งนี้เมื่อใดที่เกิดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่อแววทวีความรุนแรงมากขึ้น มักจะมีแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ทั้งนี้คาดว่าราคาทองคำอาจปรับตัวลงระยะสั้น แต่อาจจะมีแรงสวนซื้อกลับเข้ามาเช่นกัน ส่วนสัปดาห์นี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อทั้งฝั่งสหรัฐและจีน ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค. และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค. และการเลือกตั้งในไต้หวัน
สำหรับราคาทองในสัปดาห์ที่สอง พบว่ามีแนวรับอยู่ที่ 2,030 ดอลลาร์ และ 2,010 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,060 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,078 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 33,400 บาท และ 33,200 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 33,800 บาท และ 33,900 บาท
โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำที่อยู่ในขาขึ้น (Gold Bullish) คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สงครามยูเครน-รัสเซีย สงครามอิสราเอล-ฮามาส ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกมากขึ้นในปีนี้
ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ทองคำอยุ่ในช่วงขาลง (Gold Bearish) คือความต้องการทองคำจากจีนลดลง จากเศรษฐกิจจีนที่คาดเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงในปีนี้
สำหรับราคาทองวันนี้ลบ 100 บาท ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 33,550 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 33,450 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 34,050 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 32,851.72บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,043.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.65 บาทต่อดอลลาร์
อ่านข่าวอื่นๆ:
ธปท.ออกเกณฑ์คุมแบงก์ปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ