ไปร่วมจับเข่าคุยกับนักศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ส่งเสริมสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ มองไกลถึงเป้าหมายสร้างยูนิคอร์น ให้ได้ในรัฐบาลชุดนี้
และที่สำคัญ ไปเยือนสันกำแพง ถิ่นกำเนิดร่มบ่อสร้างที่ขึ้นชื่อเป็นของดีเชียงใหม่มาแต่ไหนแต่ไร ได้เห็นนายเศรษฐากางร่ม หรือกางจ้องแดงที่สันกำแพง ชมศิลปะงานระบายสีลวดลายบนร่ม ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นส่งเสียงเชียร์จากชาวสันกำแพง
พร้อมชูป้ายสนับสนุนโครงการของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท การแก้หนี้นอกระบบ รวมกระทั่งซอฟท์เพาเวอร์
สันกำแพงที่นายเซศรษฐาไปเยือน ยังคือถิ่นเกิดของนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และเป็นฐานที่มั่นแรกเริ่มทั้งในด้านธุรกิจของตระกูลชินวัตร อย่าง โรงงานทอผ้าไหมและร้านขายผ้าไหม และยังเป็นจุดเริ่มต้นฐานทางการเมืองของนายเลิศ ชินวัตร อดีต ส.ส.เชียงใหม่ ปี 2512 ซึ่งเป็นพ่อของนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ และเป็นปู่ของ น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร
บรรยากาศและภาพการต้อนรับที่เกิดขึ้น ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อครั้งนายทักษิณ ก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง ตั้งพรรคไทยรักไทย นอกจากชูนบายประชานิยมที่แทบจะเรียกว่าเป็นต้นตำรับของพรรคการเมืองไทยในเวลาต่อมาแล้ว ยังชูเรื่องเลือกนายกฯ คนเหนือคนแรกของไทยด้วย
การเยือนถิ่นเกิดนายทักษิณ จึงไม่ต่างจากการเริ่มต้นตามรอยเดินของนายทักษิณ ที่เคยประกาศสโลแกน “ตาดูดาวเท้าติดดิน” ก่อนประสพความสำเร็จทั้งในการเลือกตั้งปี 2544 และ ปี 2548
แนวทางทางการเมืองของนายเศรษฐา จึงแทบไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากนายทักษิณเลย ไม่ว่าจะเรื่องขยันลงพื้นที่พบปะประชาชน จัดอีเวนต์ เปิดแคมเปญหรือนโยบายใหญ่ๆเป็นระยะ ๆ ใช้หลักการตลาดมาใช้กับงานทางการเมือง โดยนำเสนอผลงานผ่านสื่ออย่างเป็นระบบ นายทักษิณ เคยทัวร์นกขมิ้น ทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ และอ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นโมเดลแก้ปัญหาความยากจน มีนำเสนอความเคลื่อนไหวแบบเรียลลิตี้โชว์
มีจัดประชุม ครม.บนรถไฟ ไม่ต่างจากที่เห็นนายเศรษฐา จัดประชุมบนรถไฟเมื่อครั้งไปอุดรฯและหนองคาย เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ
แม้แต่การออกคลิปแบบชิลด์ ๆ ที่หน้าตึกไทย ในทำเนียบ เผยแพร่ในโลกโซเชียล แอ๊คชั่นที่ออกมาแบบลงตัวไม่มีอะไรสะดุด ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความตั้งใจและเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่เรื่องอังเอิญว่าง
ประกอบกับช่วงนี้ปิดสมัยประชุมสภา ฝ่ายค้านไม่ได้แสดงบทบาทอะไรจนทำให้รัฐบาลเดินหน้าทำงานไม่ได้ จึงเป็นช่วงเวลาการเปิดเกมรุกของรัฐบาล นอกจากดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว ยังเปิดนโยบายแก้หนี้ และเชื่อว่าจะต่อด้วยเรื่องครบรอบ 90 หรือ 100 วันรัฐบาล มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และมาตรการช่วยเหลือประชาชนเป็นของขวัญปีใหม่ 2567
ขณะที่สไตล์การทำงานของนายเศรษฐา ก็เริ่มปรับเปลี่ยน สะท้อนการเรียนรู้ทางการเมืองมากขึ้น นอกจากจะเริ่มเข้าหาเอาใจส.ส.ของพรรค เพื่อป้องกันปัญหา ”ขาลอย” แล้ว วันก่อนยังไปร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิด ”คุญหญิงอ้อ” พจมาน ดามาพงศ์ ผู้เปี่ยมบารมีตัวจริงในพรรคเพื่อไทย รับประกันความมั่นคงบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ดี
ส่วนที่เคยปากไวจนกลายเป็นบูมเบอแรงย้อนกลับก็เริ่มลดลง บางเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูด ก็ไม่ต้องพูด อย่างเรื่องย้ายอธิบดีเอสไอ ที่ไม่ยอมตอบเรื่องเกี่ยวข้องกับเรื่องปราบหมูเถื่อนหรือไม่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนรอบข้างและคนที่เกี่ยวข้อง
แต่เจ้าตัวหันไปพูดเรื่องอื่น เช่น การพัฒนาและยกระดับของดีของไทย เพิ่มรายได้ เน้นซอฟท์เพาเวอร์ หรือแม้แต่การฟื้นฟูสินค้าโอท็อป หรือ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ให้เป็นซอฟเพาเวอร์ ซึ่งโอท็อป เริ่มต้นสมัยรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ สานต่อ นายเศรษฐาพูดชัดว่า เป็นมรดกสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และจะหาทางส่งเสริมการตลาดมากขึ้น ผ่านระบบออนไลน์
เท่ากับแนวทางและวิธีการขับเคลื่อนงานทางการเมืองของนายเศรษฐา ไม่ต่างไปจากนายทักษิณ เป็น “ตาดูดาวเท้าติดดิน” ภาค 2 ต่อเนื่องจากภาคแรก แบบดีเอ็นเอ เดียวกัน
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศา