ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

วันเบาหวานโลก รู้จัก "เบาหวานขณะตั้งครรภ์" 1 โรคอันตรายของ 2 ชีวิต

ไลฟ์สไตล์
13 พ.ย. 66
13:57
547
Logo Thai PBS
วันเบาหวานโลก รู้จัก "เบาหวานขณะตั้งครรภ์" 1 โรคอันตรายของ 2 ชีวิต
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ในอดีต เบาหวานขณะตั้งครรภ์ส่งผลต่อการแท้งและเสียชีวิตของทารก รวมถึงการตายของมารดา สูงถึง 40% และลดลงเหลือ 2% เมื่อมีการใช้อินซูลินรักษา อย่างไรก็ตาม "เบาหวานขณะตั้งครรภ์" ถือเป็น 1 ในภาวะครรภ์เสี่ยงที่ต้องประคับประคองสุขภาพคุณแม่ให้ดีตลอดระยะการตั้งครรภ์

เบาหวาน (Diabetes Mellitus) คืออะไร ?

ในสภาวะปกติของร่างกาย เมื่อรับประทานอาหารแล้ว ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น ร่างกายจะหลั่ง "ฮอร์โมนอินซูลิน" ที่สร้างโดยตับอ่อน นำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์

โรคเบาหวาน คือ โรคที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ หรือเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ 

โรคเบาหวาน สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 9

โรคเบาหวานเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 9 ของผู้หญิงทั่วโลก โดยคิดเป็นอัตรา 2.1 ล้านคน/ปี พฤติกรรมการบริโภคทำให้ ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น เนื่องจากอาหารและโภชนาการที่ไม่ดี การไม่ทำกิจกรรมการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนก่อให้เกิดอันตราย

โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด 

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน ส่วนใหญ่พบในเด็ก จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาอินชูลิน
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน ร่วมด้วยในระยะแรกสามารถรับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้าเป็นนานๆ บางรายจำเป็นต้องใช้ยาอินชูลิน
  • โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคที่ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด หรือการรับประทานยาที่มีสารสเตียรอยด์
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นหนึ่งในภาวะครรภ์เสี่ยง ที่เกิดจากฮอร์โมนของรกหรือสารเคมีที่ไปยับยั้งการทำงานของอินซูลินที่ทำหน้าที่ควบคุมน้ำตาลในเลือด เกิดจากความเสี่ยงหลายปัจจัย เช่น
    • ผู้ตั้งครรภ์ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
    • มีประวัติเคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์มาก่อน
    • เคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักเกิน 4,000 กรัม
    • มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน

ผู้หญิงทุก 2 ใน 5 คนที่เป็นเบาหวานอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ หญิงที่เป็นเบาหวานประสบปัญหามีบุตรยากอาจเกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์จากการตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ทำให้อัตราการเสียชีวิตและทุพพลภาพของมารดาและทารกเพิ่มขึ้น เด็กที่เกิดมา 1 ใน 7 คน เกิดผลกระทบจากแม่ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

นอกจากนี้แล้วคนที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์อาจเกิดภัยคุกคามที่รุนแรงต่อสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูงแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ อาจเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 หลังคลอด ซึ่งหญิงที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานในอนาคตร้อยละ 8.4 (หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า) เมื่อเทียบกับหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เป็นเบาหวาน

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ อันตรายต่อแม่และทารก

  • ความพิการแต่กำเนิด
  • ทารกเสี่ยงเสียชีวิตในครรภ์
  • ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น หัวใจโต ตัวเหลือง หายใจลำบาก ระดับน้ำตาล, แคลเซียม, แมกนีเซียมต่ำ
  • ทารกมีขนาดตัวโตมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดปัญหาในการคลอดได้
  • แม่เสี่ยงภาวะครรภ์เป็นพิษ (Toxemia of pregnancy)
  • คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากเกิดภาวะน้ำคร่ำมากผิดปกติ
  • มีภาวะตกเลือดหลังคลอดมากขึ้น
  • คุณแม่มีโอกาสเป็นเบาหวานซ้ำได้

เช็กสัญญาณอันตราย "เบาหวานขณะตั้งครรภ์"

  1. ปัสสาวะบ่อย
  2. หิว-กระหายน้ำบ่อย
  3. เหนื่อยง่าย

เมื่อไปฝากครรภ์ แพทย์จะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ โดยค่าปกติ คือ น้ำตาลในเลือดเมื่ออดอาหารน้อยกว่า 95 mg/dl, ค่าน้ำตาลในเลือดหลังกินกลูโคส 1 ชั่วโมง น้อยกว่า 180 mg/dl และมีค่าน้ำตาลในเลือดหลังกินกลูโคส 2 ชั่วโมง น้อยกว่า 155 mg/dl ถ้าค่าที่ตรวจได้แม้เพียงค่าใดค่าหนึ่งเท่ากับหรือสูงกว่าค่าปกติ ให้วินิจฉัยว่า "เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์" หากไม่ได้รับการรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ คุณแม่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามที่กล่าวมาได้

การควบคุมระดับน้ำตาล เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้มงวดในขณะตั้งครรภ์ คุณแม่ทุกคนควรได้รับการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ให้ใกล้เคียงภาวะปกติมากที่สุด

เมื่อคุณแม่อายุครรภ์ได้ 24–28 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เพื่อประเมินภาวะสุขภาพของทั้งมารดาและทารก รวมทั้งตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาลเพื่อประเมินและปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสม

การปฏิบัติตัวเมื่อมีอาการเบาหวานขณะตั้งครรภ์

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างเคร่งครัด
  • ควบคุมปริมาณอาหารให้ถูกสัดส่วนและถูกเวลา โดยลดอาหารจำพวก แป้งหรือน้ำตาล และเปลี่ยนมารับประทานข้าวจากข้าวขาวมาเป็นข้าวซ้อมมือ
  • เพิ่มอาหารจำพวกโปรตีน เนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เลือกเป็นเนื้อล้วน ไม่ติดหนัง
  • รับประทานผักหลากหลายชนิด เน้นผักกากใยสูง
  • ดื่มนมสดชนิดจืดและพร่องมันเนย
  • หลีกเลี่ยงของหวาน ผลไม้ที่มีรสหวานจัด 
  • งดอาหารที่มีเกลือสูง เช่น ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ
  • งดอาหารที่มีไขมันสูง (ควรใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหารแทน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน)
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น เดินหรือการวิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ เต้นรำ ให้ได้วันละ 30 นาที แต่ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์
  • รับการตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัดในระหว่างการฝากครรภ์ (แพทย์อาจนัดมาตรวจครรภ์บ่อยกว่าปกติ)
  • ยาที่ใช้รักษาเบาหวานจะต้องใช้แบบชนิดฉีด ในบางรายจะต้องฉีดวันละหลายครั้ง
  • ในกรณีที่มีความผิดปกติ เช่น อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวขึ้นมากจนเกินไป ท้องไม่โตขึ้น ลูกดิ้นน้อยลงหรือหยุดดิ้น มีอาการของครรภ์เป็นพิษ มีความผิดปกติอื่นๆ เช่น เบาหวานขึ้นตา ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

หลังจากคลอดแล้วจะหายหรือไม่ ?

หลังคลอดบุตร อาการเบาหวานจะหายไป หากตั้งครรภ์อีกโอกาสจะเป็นเบาหวาน มากกว่าร้อยละ 30 หลังคลอด 6 สัปดาห์ควรเจาะหาระดับน้ำตาล ถ้าปกติให้เจาะเลือดทุกปี เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีโอกาสเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต ดังนี้

  • ลดน้ำหนัก ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
  • รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ เพิ่มผัก ผลไม้ไม่หวาน ลดอาหารไขมันโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว
  • การออกกำลังกายเป็นประจำ

 ที่มา : รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, รพ.พญาไท, รพ.สมิติเวช, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  

ข่าวที่เกี่ยวข้อง