วันนี้ (18 ต.ค.2566) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี พร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้พิจารณาไต่สวนและมีความเห็นส่งศาลปกครอง เพื่อระงับโครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต ของรัฐบาล
นพ.วรงค์ กล่าวว่าการมายื่นผู้ตรวจการแผ่นดินในวันนี้ตั้งเป้า 2 ประเด็น คือ ต้องการขอให้ระงับยับยั้งโครงการนี้ เพราะหากยังเดินหน้าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องไปให้ศาลปกครองพิจารณา และ ยื่นคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยสั่งให้ระงับโครงการดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย

หมอวรงค์พร้อมมวลชนยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาและมีความเห็นส่งศาลปกครอง
หมอวรงค์พร้อมมวลชนยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาและมีความเห็นส่งศาลปกครอง
นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลได้หาเสียงประกาศที่จะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท กับคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน โดยจะใช้วงเงินราว 5 แสนกว่าล้านบาท มีข้อกังวลใจว่าถ้าต้องการช่วยเหลือคนจน ทำไมถึงต้องแจกให้กับคนรวยด้วย เอาง่ายๆ คือ สส. 1 คน มีผู้ช่วย 8 คน เฉพาะ สส. รวมครอบครัวก็จะได้ประมาณ 800,000 บาท หรือครอบครัวของนายกรัฐมนตรีก็จะได้ 40,000-50,000 บาท
และที่เป็นข้อกังขาคือทำไมแจกเป็นเงินดิจิทัล หรือโทเคน ซึ่งมีความซับซ้อน เพราะต้องมีการแลกเปลี่ยนจากเงินสดเป็นโทเคน และ โทเคนเป็นเงินสด โดยเฉพาะเงื่อนไขของการจ่ายเงินโทเคนที่ระบุว่าต้อง 6 เดือนขึ้นไปถึงจะแลกเป็นเงินสดได้
ไม่ได้เป็นประโยชน์กับคนยากจน เพราะผู้ค้ารายย่อยเขาต้องหมุนเงินทุกวัน ซึ่งจะเป็นอุปสรรค
ทำให้โทเคนไปกองอยู่ที่นักธุรกิจรายใหญ่
อีกทั้งคนยากจนต้องการเงินสดไม่ได้ต้องการเงินโทเคน ซึ่งจะนำไปสู่การฟอกเงินสีเทาครั้งใหญ่ในการรับซื้อโทเคนจากคนยากจนที่เขาต้องการเงินสด อีกทั้งขณะนี้รัฐบาลก็ยังไม่สามารถชี้แจงได้ว่าจะนำเงินจากไหนมาทำโครงการนี้ จึงกังวลว่าสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การทุจริตกระจายไปทั้งแผ่นดิน
อ่าน : "คลัง" ห่วงข้อจำกัด กม.-แอปฯ อาจแจกเงินดิจิทัลไม่ทัน ก.พ.67
นพ.วรงค์ ยังระบุว่า กังวลว่าโครงการนี้ไม่ได้ช่วยคนจน แต่ช่วยคนรวยโดยเอาคนจนมาบังหน้า และสิ่งที่กระทำทั้งหมดจะนำไปสู่การขัดต่อกฎหมายหลายมาตรา ทั้งรัฐธรรมนูญมาตรา 162 และ 164 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 เพราะโครงการนี้เป็นการใช้จ่ายเงินอย่างมหาศาลเพื่อหวังคะแนนนิยมทางการเมือง และการนำโทเคนมาใช้จ่ายแทนธนบัตรเสี่ยงขัดต่อ พ.ร.บ.เงินตรา 2501 มาตรา 6 มาตรา 9

หมอวรงค์พร้อมมวลชนยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาและมีความเห็นส่งศาลปกครอง
หมอวรงค์พร้อมมวลชนยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาและมีความเห็นส่งศาลปกครอง
จึงต้องการบอกประชาชนว่าอย่าให้เขาหลอก เขาไม่ได้ต้องการช่วยคนจนแต่ต้องการช่วยคนรวยโดยเอาคนจนมาบังหน้า ทั้งนี้จึงได้รวบรวมข้อเท็จจริง ความเห็นจากนักวิชาการ อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย อดีต รมว.คลัง มาเสนอต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้ส่งศาลปกครองพิจารณาเพื่อยับยั้งโครงการดังกล่าว
นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า ที่ไม่ไปยื่นต่อศาลปกครองโดยตรง เนื่องจากโครงการนี้ยังไม่ได้เริ่มต้น มาตรการทางปกครองจึงไม่ได้เกิด แต่นโยบายดังกล่าวแถลงต่อรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว จึงไม่อยากให้เกิดความเสียหายเหมือนโครงการจำนำข้าว ตนไม่ได้ใจจืดใจดำอยากให้นักการเมืองต้องติดคุกหนีไปต่างประเทศ จึงทำเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ประเทศชาติเสียหายก่อน ซึ่งมีช่องทางเดียว คือ ยื่นผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินไปยังศาลปกครอง ยกเว้นถ้ามีมติคณะรัฐมนตรีให้มีการดำเนินโครงการนี้ ก็จะถือว่ามาตรการทางปกครองเกิดขึ้นแล้ว สามารถที่จะยื่นตรงต่อศาลปกครองได้
เรายังใจดีกับรัฐบาล เราไม่อยากเห็นนายกฯ หนีหรืออยู่ในคุก
ส่วนอีกข้อห่วงใย คือ ถ้ามีการดำเนินโครงการ และมีการแจกโทเคน ซึ่งจะขึ้นเป็นเงินสดได้ต้องผ่านไปแล้ว 6 เดือน หากในช่วงเวลานั้นเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง เช่น มีการยุบสภา เงินนี้ใครจะรับผิดชอบ เชื่อว่ารัฐบาลใหม่ก็จะไม่รับผิดชอบจะต้องบอกว่าให้ไปขึ้นเงินกับรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ก็จะเป็นข้อกังขาเกิดขึ้น เกิดความวุ่นวายเกิดการผูกคอตายของพ่อค้ารายย่อย
อ่าน : ข้อเสนอ หอการค้าฯ ใช้เงินดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง
ส่วนโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ต่างจากโครงการจำนำข้าวอย่างไรนั้น นพ.วรงค์ กล่าวว่าทั้ง 2 โครงการ มีจุดเหมือนกันมาก โครงการรับจำนำข้าวมีงบประมาณ 94,000 ล้านบาท มีความเสียหายไม่ใช่เฉพาะช่วงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่นับไปถึงรัฐบาลนายสมัคร เสียหายเกือบ 900,000 ล้านบาท เฉพาะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เสียหาย 600,000 ล้านบาท

ภาพประกอบข่าว ข้าวเปลือก
ภาพประกอบข่าว ข้าวเปลือก
แต่โครงการดิจิทัล 560,000 ล้านบาท ซึ่งมีหน่วยงานออกมาเตือนไม่แตกต่างกับ สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีนักวิชาการ หน่วยงาน แม้แต่ IMF และ ธนาคารโลกก็ออกมาเตือน และในส่วนของรัฐบาลนายเศรษฐาก็มีนักวิชาการ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นักเศรษฐศาสตร์ แม้แต่ S&P และ Moody's ก็ออกมาเตือน
และโครงการรับจำนำก็อ้างประชาชน นายเศรษฐาอ้างแจกทุกคนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป เวลาพูดอ้างช่วยคนจน รูปแบบเหล่านี้คือ เอาคนจน เอาชาวนามาบังหน้า แต่สุดท้ายเป็นประโยชน์ของคนรวย ตนเชื่อว่าเมื่อดำเนินการไป ในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตายด้วยทุจริต และรัฐบาลชุดนี้หากยังปล่อยให้เกิดขึ้น ก็ตายด้วยทุจริตด้วยการใช้โทเคน แต่ถ้าไม่ใช้โทเคน โอนเป็นเงินสดผ่านบัญชีโกงยาก อันนั้นอาจจะไม่ตาย แต่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับการเงินการคลังของประเทศ ตนจึงขอเตือนหากใช้โทเคนเมื่อไหร่คุกรออยู่แน่นอน
นพ.วรงค์ กล่าวว่าเชิงหลักการ การช่วยประชาชน เราไม่ว่า เราเรียกร้องให้ใช้เงินสด ถ้ารัฐบาลนายเศรษฐาให้ทำโพลถามพี่น้องประชาชนว่าต้องการเงินสดหรือโทเคน เพราะโทเคนซับซ้อน หากแจกเงินสดความผิดคุณจะหายไปเยอะ และโอกาสทุจริตจะหายไปเยอะ แต่ความเสียหายต่อการเงินการคลังอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งช่องทางความเสียหายต่อการเงินการคลังในระยะยาวก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการร้องผู้ตรวจฯ แม้คุณไม่โกง แต่ความเสียหายเรื่องการทุจริตจะลดไปเยอะ

ภาพประกอบข่าว เหรียญโทเคน
ภาพประกอบข่าว เหรียญโทเคน
นพ.วรงค์ ยังกล่าวถึงที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ 3 ช่องทาง
- เกลี่ยงบประมาณ
- ให้สถาบันการเงินจ่ายไปก่อนหรือกู้ธนาคาร
- กู้โดยตรง
ซึ่งขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีคำตอบ การที่ไม่มีคำตอบแต่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในมาตรา 162 และ 164 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุไว้ชัดเจนถึงที่มาของเงิน ซึ่งแหล่งที่มาของเงินยังไม่ชัดเจนก็ขัดรัฐธรรมนูญแล้ว และผู้ใหญ่ในรัฐบาลก็ยังตอบไม่ตรงกันในเรื่องที่มาของเงิน
สำหรับโครงการนี้จะเข้าข่ายฟอกเงินครั้งใหญ่อย่างไรนั้น นพ.วรงค์ กล่าวว่า ตนเชื่อโทเคนขณะนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก ณ วันนี้มีการเตรียมใช้เงินดิจิทัลแห่งเดียวของประเทศ และถูกต้องอย่างเป็นทางการนั้น คือ CBDC หรือ ดิจิทัลบาท ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการทดลองใช้แล้วร่วมกับธนาคารแห่งหนึ่ง
อ่าน : “ภูมิธรรม”ยันเดินหน้าแจก 10,000 บาท ชี้อย่ากังวลเกินไป
ขนาดธนาคารแห่งประเทศไทยมีเงินบาทมีทองคำรับรอง ยังต้องทดลองใช้ก่อน การที่จะออกมาเป็นโทเคน ชาวบ้านไม่รู้จัก ยิ่งการบังคับว่าก่อนที่จะขึ้นเงินอีก 6 เดือน ชาวบ้านต้องการเงินสด ร้านค้าในหมู่บ้านไม่มีทางอยากจะรับเพราะไม่มีเงินหมุน เมื่อประชาชนต้องการเงินสด ร้านค้าหัวดี คนที่มีเงินสีเทาจำนวนเยอะๆ สามารถจะไปร่วมมือเอาเงินสีเทาไปรับซื้อโทเคน วิธีการนี้เป็นกระบวนการฟอกเงินสีเทาครั้งใหญ่ ของประเทศครั้งใหญ่ที่ประชาชนอาจคาดไม่ถึง ตนจึงพูดว่าโครงการนี้เป็นการอุ้มคนรวย แต่เอาคนจนมาบังหน้า

ภาพประกอบข่าว เงินสด
ภาพประกอบข่าว เงินสด
ทั้งนี้การที่ได้หาเสียงไว้ จะไม่ทำก็ผิด จะมีบรรทัดฐานอย่างไร นพ.วรงค์ กล่าวว่านโยบายหาเสียงที่เป็นนโยบายช่วยเหลือประชาชน ห้ามเพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง การที่มาอ้างหาเสียงจะยิ่งผิด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 9 วรรค 3 อย่างชัดเจน ถ้าไม่ทำก็มีปัญหาทางการเมือง ถ้าทำก็ผิดกฎหมาย เพราะเขาห้ามสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง ที่จะนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจและเป็นภาระของประชาชนในระยะยาว
ดังนั้นต้องย้อนไปช่วงเลือกตั้ง ที่ผู้จัดการเลือกตั้งจะต้องไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นหลังการเลือกตั้ง ต้องมีการคัดกรองนโยบายที่เข้มงวดกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยนโยบายมาแล้วสร้างปัญหาให้กับประเทศเมื่อเป็นรัฐบาล
ถ้าผมเป็นนายเศรษฐาจะแถลงบอกเลยว่า เมื่อถึงที่สุดแล้ว มันเป็นปัญหา มันมีอุปสรรค และประชาชนต้องการเงินสด พี่น้องประชาชนช่วยคนจน พี่น้องประชาชนไม่อยากจะเห็นเอาเงินสดไปให้ตระกูลเศรษฐีใหญ่ๆ เอาเงินไปให้ สส. ครอบครัว สส. สว. ครอบครัวนักการเมือง
ดังนั้นเราจะลดไซส์ เราจะแจกเป็นเงินสด เอาเฉพาะคนจนที่อยู่ในระบบที่เราต้องการจะช่วย และเราจะแจกเป็นเงินสด เพราะมีระบบรองรับอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าประชาชนรับได้ แต่อาจจะโดนด่านิดหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าลุยไฟไปข้างหน้าแล้วมีความเสี่ยงต่อประเทศ เสี่ยงต่อพวกเราทุกคน ย้ำว่าเฉพาะ พ.ร.บ.เงินตรา มาตรา 6 ที่คุณเอาวัตถุมาใช้แทนเงินตรา มันจะทำให้ประเทศเกิดเงิน 2 ระบบ เป็นเงินของแบงก์ชาติที่มีกฎหมายรองรับ และเงินของรัฐบาลเพียงแต่รัฐบาลรองรับ ถ้าผมเป็นต่างชาติผมไม่ถือเงินบาทแน่นอน ถ้าเกิดปัญหาแบงก์ชาติไม่ได้รับรอง อัตราแลกเปลี่ยนก็จะไหลออกไปเพราะคนไม่เชื่อค่าเงินบาท
อย่างที่บอกถ้าคุณถือโทเคนแล้วรัฐบาลยุบสภาใครจะมารับผิดชอบ
เรียกร้องคุณเศรษฐา คุณถอยไปสักก้าวหนึ่ง
อย่างที่เราเรียกร้องจ่ายเป็นเงินสด จ่ายเฉพาะคนจน โดยด่านิดหน่อย
นพ.วรงค์ ยังเชื่อว่าการที่นายกฯ ไม่ระบุถึงบริษัทพัฒนาระบบซูเปอร์แอป และงบฯ ในการใช้สร้างระบบ เพราะรู้แล้ว แต่ไม่เปิดเผย แม้มีตัวเลขและบริษัทอยู่ในหัวแล้ว ถ้าหากแฟร์จะต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบ แต่รัฐบาลยังอึมครึม ไม่แฟร์ ไม่ตรงไปตรงมา จึงทำให้เกิดปัญหา ตนจึงเชื่อว่าการแจกเป็นโทเคนจะนำไปสู่วิกฤตครั้งใหญ่ของประเทศ