วันนี้ (14 ส.ค.2566) ที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 - กระบกคู่ จ.ฉะเชิงเทรา กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช แถลงข่าวการตายของลูกช้างป่า "ตุลา"
นายเผด็จ ลายทอง ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่ลูกช้างตุลาตายค่อนข้างกระทันหัน แต่กรมอุทยานฯ พยายามดูแลลูกช้างอย่างดีที่สุด วันสุดท้ายที่จากไปยังทำหน้าที่ครูใหญ่ ซึ่งทีมสัตวแพทย์ได้ชันสูตรอย่างละเอียด พบว่า กระดูกบางมาก โดยเฉพาะขาหน้าทั้ง 2 ข้าง มีภาวะพรุนเสียหาย น่าจะเป็นสาเหตุให้ไม่ล้มตัวนอน
นอกจากนี้ ได้เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ อวัยวะภายใน เพื่อศึกษาข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเคสลูกช้างป่าหลัดหลงในอนาคต
ทุกคนพยายามเต็มที่ในการดูแลน้อง วันสุดท้ายยังทำหน้าที่ครูใหญ่ เป็นเคสแรกที่ชันสูตรอย่างละเอียด เก็บชิ้นเนื้อ อวัยวะภายใน จะเป็นประโยชน์แก่ลูกช้างพลัดหลงตัวอื่น ๆ ในอนาคต
นายเผด็จ กล่าวว่า กรณีลูกช้างป่วยและหลงโขลง หลายเคสตายจากไวรัสเฮอร์ปีส์ จึงคาดว่ามีเชื้อนี้อยู่ในตัวช้าง และแสดงความรุนแรงในช่วงที่ลูกช้างมีสภาพร่างกายและจิตใจอ่อนแอ หรือสภาวะเครียด เราพยายามรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ สันนิษฐานว่ากรณีฝูงไม่รอรับตุลา เพราะคิดว่าเป็นภาระ ตอนพบครั้งแรก ตุลาเดินออกมาจากป่า สภาพอ่อนแอ ผอม สรีระดูผิดปกติ
ขณะที่ นพ.ไพโรจน์ พรมวัฒน์ ระบุว่า ที่ผ่านมาลูกช้างป่าตุลา มีอาการป่วยเนื่องจากยืนหลับ ไม่ยอมล้มตัวลงนอนติดต่อกันหลายวัน จนมีอาการเจ็บและอักเสบบริเวณขาหน้าทั้ง 2 ข้าง รวมถึงขาหลังขวาที่มีการก้าวเดินผิดปกติ จนเริ่มมีอาการทรุดลง
ทีมสัตวแพทย์ต้องระดมทีมสัตวแพทย์จากหลายหน่วยงาน ทั้งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) คลินิกช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และชมรมสัตวแพทย์สวนสัตว์และสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย ทำการรักษาและอนุบาลอย่างใกล้ชิด
กระทั่งเมื่อวันที่ 13 ส.ค.2566 เวลา 04.00 น. สัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) เข้าช่วยเหลือลูกช้างป่าในการพยุงตัวลุกยืน ซึ่งก่อนหน้านี้สัตวแพทย์ตรวจพบว่าลูกช้างป่า มีอาการป่วยด้วยภาวะโรคกระดูกบาง (metabolic bone disease) หลังจากนั้นสัตวแพทย์ได้มีการรักษาโรคกระดูกบางร่วมถึงเฝ้าระวังและติดตามอาการของการใช้ขาของลูกช้างป่ามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ในวันเดียวกันลูกช้างป่า ไม่สามารถลุกยืนได้จากการนอนในเวลากลางคืน จึงได้เข้าช่วยเหลือโดยการใช้เครนยกตัวเข้าช่วยพยุงตัวให้ยืนขึ้น หลังจากนั้นสัตวแพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายพบว่า ขาหน้าทั้ง 2 ข้างมีอาการอ่อนแรง บวม ข้อเท้าขาหน้าทั้งสองมีการงอ ไม่ขยับเดิน จึงได้ให้ยาลดปวด ลดอักเสบ และพันขาลดการปวดการอักเสบ โดยตลอดทั้งวัน พบว่าลูกช้างป่า ไม่สามารถใช้ขาช่วยพยุงตัวให้ยืนได้ จึงให้นอนพัก และให้เจ้าหน้าที่ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง
เวลา 18.00 น. ลูกช้างป่า (ตุลา) เริ่มมีอาการหายใจช้าลง ลิ้นเริ่มมีสีซีด มีภาวะหัวใจหยุดเต้น สัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลเร่งด่วน โดยการทำ CPR เพื่อกระตุ้นการหายใจ ลูกช้างป่าไม่มีการตอบสนองต่อการช่วยชีวิต และตายในเวลาต่อมา
เปิดผลชันสูตร "ตุลา" ขาหน้ามวลกระดูกแตกสลาย
การผ่าชันสูตร พบว่า ต้นขาหน้ามวลกระดูกแตกสลาย ทำให้บริเวณรอยแตกหักมีความบาง และพบรอยแตกบริเวณกว้าง สาเหตุการตายเกิดการภาวะบาดเจ็บรุนแรงของกระดูกต้นขาหน้าทั้ง 2 ขา หัก (Humerus fracture) ทำให้เกิดสภาวะช็อคจากการบาดเจ็บรุนแรงตามมา (Pain shock)
ตุลามีสภาวะกระดูกบางทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณขาหน้า (ด้านบน) ทั้งสองข้าง พบการสลายของกระดูก ทำให้กระดูกแตกหักละเอียด ผิดรูป ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไม่ล้มตัวลงนอน และเล่นกับพี่เลี้ยงตามปกติ อวัยวะภายในร่างกายพบว่า ลำไส้มีความแดงผิดปกติ และสัตวแพทย์ได้เก็บตัวอย่างอวัยวะทั้งหมด รวมถึงกระดูก ส่งทางห้องปฏิบัติการ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์พัฒนาการทางสัตวแพทย์ภาคตะวันออก กรมปศุสัตว์
ขณะที่ น.ส.มัชฌมณ แก้วพฤหัสชัย นายสัตวแพทย์ชำนาญการ หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) กล่าวว่า ช่วงพบตุลาเป็นตอนเด็กมาก จึงไม่ได้กินนมแม่มาตั้งแต่แรก แทบไม่มีภูมิคุ้มกัน โดยสัตวแพทย์พยายามเสริมแคลเซียมในปริมาณที่ลูกช้างควรจะได้ แต่ดูดซึมไม่เพียงพอ
ย้อนวันพบ "ลูกช้างป่าตุลา"
ช้างป่า “ตุลา” เป็นลูกช้างป่าพลัดหลง ที่ทหารพรานนาวิกโยธิน พบที่บริเวณฐานฯ ทุ่งกร่าง ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ 9 ต.ค.2565 ขณะนั้นมีอายุประมาณ 1-2 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ร่วมกันตั้งชื่อลูกช้างป่าตัวนี้ว่า “เจ้าตุลา” ตามเดือนที่พบเจอ ขณะที่พบลูกช้างมีอาการอ่อนแอ สัตวแพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และได้รับการสนับสนุนน้ำนมช้างจากแม่ช้าง 4 เชือกที่เพิ่งตกลูก จากสวนนงนุชพัทยามาให้ลูกช้างกิน ตลอดจนการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมสัตวแพทย์ และทีมพี่เลี้ยง
ทีมสัตวแพทย์ได้ตรวจสุขภาพลูกช้างป่า พบว่าป่วยเป็นโรคติดเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้าง (EEHV) ทีมสัตวแพทย์จึงได้รักษาโดยการให้ยาต้านไวรัสแบบกิน เพื่อรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จนทำให้ตุลาเริ่มมีสุขภาพแข็งแรง มีสุขภาพดี และเป็นช้างอารมณ์ดีขึ้น ขี้เล่น จนเป็นขวัญใจคนรักสัตว์
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ก.พ.2566 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินการเคลื่อนย้ายลูกช้างป่าตุลา จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ.จันทบุรี มายังศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) มีพื้นที่ที่เหมาะสม โดยที่ผ่านมากรมอุทยานฯ จัดทีมสัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ และพี่เลี้ยง ดูแลอาการช้างป่าอย่างใกล้ชิดมาตลอด นานถึง 10 เดือน และได้จากไปในที่สุด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสาเหตุเบื้องต้น ลูกช้างป่า "ตุลา" ตาย เหตุช็อกจากบาดเจ็บรุนแรง 2 ขาหน้าหัก
ลูกช้าง "ตุลา" ไม่ล้มตัวนอน-ขาอักเสบ ผลตรวจเฮอร์ปีส์ไวรัสเป็นลบ