วันที่ (3 ส.ค.2566) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานบรรยากาศด้านหน้าศาลในกรุงวอชิงตัน ดีซี เริ่มมีสื่อมวลชนหลายสำนักไปเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว ก่อนจะถึงกำหนดที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะไปปรากฏตัวทีาศาลในวันนี้ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าทรัมป์จะเดินทางไปขึ้นศาลด้วยตัวเองหรือไม่ เนื่องจากศาลเปิดให้รับฟังข้อกล่าวหาผ่านทางวิดีโอได้
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ถูกตั้งข้อหา 4 กระทง ได้แก่ สมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงสหรัฐฯ, สมรู้ร่วมคิดขัดขวางกระบวนการของรัฐ, กระทำการขัดขวางกระบวนการของรัฐ และสมรู้ร่วมคิดกระทำการที่ขัดกับสิทธิของพลเมืองอเมริกัน ซึ่งข้อหาเหล่านี้มีที่มาจากการกระทำของทรัมป์ในช่วงกว่า 2 เดือนหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2020 จนถึงวันที่พ้นจากตำแหน่งวันที่ 20 ม.ค.2021
สื่อมวลชนหลายสำนักเกาะติดคดีโดนัลด์ ทรัมป์
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสอบสวนคดีจนนำมาซึ่งการตั้งข้อกล่าวหาทรัมป์ครั้งนี้คือ ที่ปรึกษาพิเศษ Jack Smith ที่ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการไต่สวนคดีนี้โดยเร็ว ซึ่งรายละเอียดของข้อกล่าวหาทั้งหมดอยู่ในเอกสารคำฟ้องความยาว 45 หน้า โดยข้อหาแรก สมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงสหรัฐฯ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ทรัมป์พยายามขัดขวางการรวบรวม นับคะแนนและรับรองผลคะแนนเลือกตั้ง
ข้อหาที่ 2-3 สมรู้ร่วมคิดขัดขวางกระบวนการของรัฐ, กระทำการขัดขวางกระบวนการของรัฐ สืบเนื่องจากความพยายามขัดขวางการรับรองเสียงของคณะผู้เลือกตั้งในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 ซึ่งหมายรวมถึงการก่อจลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันนั้นด้วย ส่วนข้อหาที่ 4 สมรู้ร่วมคิดกระทำการที่ขัดกับสิทธิของพลเมืองอเมริกัน เกิดจากความพยายามแทรกแซงสิทธิของพลเมืองในการออกเสียงเลือกตั้ง และการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งที่พลเมืองลงคะแนน
อัยการ ระบุด้วยว่า อดีตผู้นำสหรัฐฯ พยายามอ้างถึงข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว พร้อมทั้งกดดันเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรวมถึง ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีในขณะนั้น ให้เปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งและยั่วยุให้เกิดความรุนแรงผ่านการโจมตีอาคารรัฐสภา เพื่อบั่นทอนประชาธิปไตยของประเทศและรักษาอำนาจของตัวเอง
ผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ประท้วงนอกอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021
"ทรัมป์" เผชิญคดีใหญ่รุมเร้าก่อนศึกเลือกตั้ง 2024
การฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 เดือน แต่เหตุใดคดีนี้ของทรัมป์ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ทั้งที่มีอีกหลายคดีที่ผู้นำสหรัฐฯ เผชิญอยู่
ยกตัวอย่าง กรณีการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ ครั้งนั้นเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนทรัมป์จะนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี หรืออีกคดีที่ได้รับความสนใจคือการจัดการเอกสารลับอย่างไม่เหมาะสม เรื่องนั้นเกิดหลังจากทรัมป์พ้นตำแหน่ง แต่คดีนี้เกี่ยวกับข้อกล่าวหาพยายามโค่นผลการเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทรัมป์ยังเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
แม้ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่านี่อาจไม่ใช่คดีร้ายแรงที่สุดที่ทรัมป์ต้องเผชิญ เพราะในอนาคตอาจมีข้อหาแรงๆ ปรากฏขึ้นอีกจากคดีต่างๆ แต่ข้อกล่าวหาในคดีนี้อาจเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงและมีผลสืบเนื่องมากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่อดีตประธานาธิบดีถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการพยายามอยู่ในตำแหน่งและขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ
อย่างไรก็ตาม การสอบสวนและดำเนินคดีนี้อาจไม่ได้เป็นไปอย่างรวดเร็วนัก เพราะกำหนดการต่างๆ จะต้องเผชิญอุปสรรคหลายอย่าง ทั้งการนัดขึ้นศาลของคดีอื่นๆ และกำหนดการเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง และการลงคะแนนเลือกผู้แทนพรรครีพับลิกันชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งปี 2024 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย.2024
ไมค์ เพนซ์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
"ไมค์ เพนซ์" พยานปากสำคัญดำเนินคดีทรัมป์
การตั้งข้อกล่าวหาครั้งประวัติศาสตร์นี้ทำให้หลายคนหันมาให้ความสนใจ "ไมค์ เพนซ์" อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง จากผู้ที่เคยเป็นมือขวาของทรัมป์ สู่การเป็นพยานปากสำคัญในการดำเนินคดีทรัมป์เสียเอง
เพนซ์ ระบุว่า ทรัมป์ไม่มีสิทธิล้มการเลือกตั้งและกล่าวโจมตีทีมกฎหมายของทรัมป์ที่พูดอะไรแต่เฉพาะที่เข้าหูเขาเท่านั้น ไม่ตักเตือนหรือห้ามปราม พร้อมย้ำจุดยืนเดิมที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า ทรัมป์ขอให้เขาเลือกทรัมป์มากกว่ารัฐธรรมนูญ ซึ่งเขาเชื่อว่าใครก็ตามที่วางตัวเหนือรัฐธรรมนูญไม่ควรได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ขณะที่ทีมหาเสียงของทรัมป์ออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยระบุว่า การตั้งข้อหาดังกล่าวเป็นการทุจริตครั้งล่าสุดของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และกระทรวงยุติธรรม เพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 เนื่องจากทรัมป์มีคะแนนนิยมนำโด่ง และเหตุการณ์นี้ทำให้ระลึกถึงนาซีเยอรมนี ในช่วงทศวรรษที่ 1930
ด้านชาวนิวยอร์กหลายคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตั้งข้อหาอดีตผู้นำครั้งนี้ โดยระบุว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ขณะที่บางส่วนมองว่าควรตั้งข้อหานานแล้วและนี่เป็นเรื่องน่าอับอายของประเทศ
อ่านข่าวอื่นๆ
จับตา "ชนชั้นนำรุ่นใหม่" ปกครองกัมพูชา
ว่าที่ "ครม.รุ่นผลิใบ" ทายาทอำนาจเก่า "กัมพูชา"
รัฐบาลทหารเมียนมา อภัยโทษ "ซู จี" ใน 5 คดี เนื่องในวันเข้าพรรษา