แต่เหตุผลสำคัญ ปฏิเสธไม่ได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องลดการเผชิญหน้าในช่วงเวลาที่สถานการณ์ทางการเมืองพลิกผัน เมื่อพรรคเพื่อไทยเพิ่งสวมบทพระเอกในการเดินหน้าหาเสียงหนุนเพิ่ม ทั้งจาก สว.โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ประสานเจรจา
กับการส่งเทียบเชิญ 5 พรรคขั้วรัฐบาลเดิม มาร่วมเจรจาแบบชื่นมื่น และมี “มินต์ช็อก” ที่ THINKlab พรรคเพื่อไทย เป็นตัวช่วยสร้างสายสัมพันธ์และสีสันนั้น
ขณะเดียวกันพรรคก้าวไกล ได้เคลื่อนไหวเข้าหามวลชน และประกาศจุดยืนยังจับมือแน่นในขั้ว 8 พรรคจัดตั้งรัฐบาล ไม่ยอมถอย ทั้งยืนยันไม่ร่วมรัฐบาลกับ “พรรค 2 ลุง” รวมทั้งใช้วาทะเด็ด ที่ไม่รู้ว่าหมายถึงใครหรือฝ่ายไหนกันแน่ คือ “เจอคนด้านต้องด้านกว่า”
ความจริงแกนนำพรรคเพื่อไทยแจกแจงว่า ในการประชุม 8 พรรคร่วม จะนำข้อสรุปผลการเจรจากับทั้ง สว.และ สส.เรื่องหาเสียงเพิ่มเพื่อตั้งรัฐบาล แจ้งให้ที่ประชุมร่วมได้รับทราบ แต่ที่หนีไม่พ้นด้วย คือเงื่อนไขจาก 5 พรรคที่เชื้อเชิญมา ต่างไม่เอาพรรคก้าวไกล และไม่เอาเรื่องแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 เท่ากับเป็นการบีบพรรคก้าวไกลรอบที่สอง
หลังจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์ นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ระบุชัดว่า “เป็นการเล่นละครยืมปากไล่ก้าวไกล”
การเล่นบท มีนัยชัดเจนทั้งทางตรงและทางอ้อมเช่นนี้ ตามหมากเกมทางการเมือง พรรคก้าวไกลต้องพิจารณาทบทวนตัวเองเพื่อถอยออกจาก 8 พรรคร่วม เพื่อทำให้การเดินหน้าตั้งรัฐบาลสลับไพ่ล้างขั้วนำโดยพรรคเพื่อไทยไปต่อได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นตามคาด พรรคก้าวไกลยังยืนยันเป็นมัดข้าวต้มแน่นกับเพื่อไทย
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พยายามอธิบายว่า เป็นเพียงแค่เชิญมาหารือ ไม่ใช่เชิญเข้าร่วมรัฐบาล แต่เพราะบรรยากาศและภาพความชื่นชื่นเช่นชนแก้วมินต์ช็อคที่ออกมา ทำให้ผู้คนทั่วไปมองข้ามช็อตไปล่วงหน้า ไม่เชื่อคำพูดเช่นเคย
สภาพเช่นนี้อาจทำให้ในการประชุมร่วม 8 พรรคเกิดความอึดอัด ต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะแค่มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะสบตา กันได้สนิทใจเหมือนเดิมหรือไม่
การปักหลักสู้ไม่ถอย แถมยังมีคำเหน็บที่เจ็บจี๊ดถึงใจของพรรคก้าวไกล ต้องยกนิ้วให้เครดิตผลงานของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร หนึ่งในแกนนำ ที่อ้างคำสอนของพ่อ คือสู้กับคนหน้าด้านน่ากลัวที่สุด เพราะถ้าแพ้จะล้มกระดาน สร้างกติกาใหม่ ฉะนั้น สู้กับคนหน้าด้านจึงต้องด้านกว่า ซึ่งคำกล่าวประโยคนี้ มีการติดแฮชแท็ก # ในโลกโซเชียลอย่างล้มหลาม
ประกอบกับเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งคำร้องปมมติรัฐสภาเสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกฯ ซ้ำรอบ 2 ไม่ได้ ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทำให้สถานการณ์การเมืองดีดกลับอีกครั้ง อย่างไม่น่าเชื่อ
จากเดิมพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายคุมเกม เปลี่ยนกลับไปที่ก้าวไกล เพราะมีโอกาสที่จะได้เสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกฯ รอบ 2 หรืออาจจะอีกหลายรอบได้ หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในเชิงลบต่อมติรัฐสภา ที่ทำให้รัฐธรรมนูญต้องเป็นง่อย
ล่าสุด นายรังสิมันต์ โรม ให้สัมภาษณ์ว่า พรรคก้าวไกลเตรียมยื่นวาระหารือ ปธ.รัฐสภา เพื่อพิจารณาทบทวนมติ ชงชื่อ ‘พิธา’ นั่งนายกฯ รอบ 2 ได้
แต่กระนั้นต้องลุ้นว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัยหรือไม่ ถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจของแต่ละฝ่ายตามกฎเกณฑ์ ครรลองประชาธิปไตยหรือไม่ คือฝ่ายตุลาการ กับฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน
ประกอบกับนักวิชาการด้านกฎหมายบางคน เริ่มตั้งข้อสังเกตว่า หากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา อาจนำไปสู่ปัญหาและสร้างบรรทัดฐานใหม่เมื่อต่อไป มติของรัฐสภา อาจมีคนนำไปยื่นร้องศาลให้พิจารณาตีความได้
ความจริง เรื่องขัดแย้งระหว่าง 2 อำนาจ คือนิติบัญญัติกับตุลาการ ในประเทศไทยก็เคยมีมาแล้ว โดย นายบุญส่ง ชเลธร อดีตหนึ่งใน 13 กบฏรัฐธรรมนูญก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 ปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า เคยเกิดปัญหาขัดแย้งรุนแรงกรณีเมื่อครั้งคดีโมฆะอาชญากรสงคราม กรณีจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้นำรัฐบาล ประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องโทษจำคุก
ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีมติให้ศาลฎีกา ทำหน้าที่พิจารณาคดีอาชญากรสงคราม ถึงขั้นต้องติดคุกเข้าเรือนจำ แต่การพิจารณาในของศาลกลับพิจารณาเห็นต่าง
จะโดยข้อด้อยในเนื้อหาข้อกฎหมายหรืออย่างไรก็ตามที แต่สุดท้ายการดำเนินคดีอาชญากรสงครามครั้งนั้น ก็เป็นโมฆะ และนำไปสู่จุดเริ่มของการตั้งศาลรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมา
ความพลิกผันและความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองในช่วงนี้ ไม่มีอะไรที่แน่นอน แต่เชื่อว่า ต้องมีลุ้นด้วยใจระทึกอีกอย่างน้อยระยะหนึ่ง
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ประเสริฐ" ลั่่นได้เสียงโหวตนายกฯ เพิ่มคาดฉลุย ปัดแตกคอก้าวไกล
พลังสังคมใหม่ ชง 8 พรรคร่วม แก้ MOU หลัง เพื่อไทย นำจัดตั้งรัฐบาล
ใครว่า “ก้าวไกล” เป็นละอ่อนการเมือง ปมมติรัฐสภาเหนือกว่า รธน.