วันนี้ (31 พ.ค.2566) ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. นำกำลังเข้าตรวจค้นภายในบ้านพักรวม 6 หลัง ภายในหมู่บ้านหรู มูลค่ากว่า 67 ล้านบาท ย่านพัฒนาการ 30 พร้อมกับเข้าจับกุมนายเซาเซียน และนางคียิ ยี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีหลอกให้ร่วมลงทุนไฮบริดสแกม โดยใช้โปรไฟล์ปลอมหลอกตีสนิทผู้เสียหายผ่านโปรแกรมทางออนไลน์
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีนี้มีผู้เสียหายมากกว่า 20,000 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาท โดยผู้ต้องหาจะหลอกให้มาร่วมลงทุน และให้ผู้เสียหายซื้อเงินสกุลดิจิทัล แต่เมื่อต้องการจะถอนเงินต้นและกำไร กลับไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ อ้างว่าบัญชีถูกระงับ ต้องโอนเงินลงทุนเพิ่มจึงจะสามารถถอนเงินออกมาได้ ทำให้มีบางคดีมีความเสียหายมากกว่า 18 ล้านบาท
ผู้ต้องหามีความซับซ้อนในการโอนเงินไปยังบัญชีต่าง ๆ เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบ ส่วนใหญ่จะโอนต่อไปยังบัญชีที่อยู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยคดีนี้ยังพบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกหลอกอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และอังกฤษด้วย ขณะนี้ตำรวจได้ประสานให้ระงับธุรกรรมเงินดิจิทัลที่อยู่ในบัญชีมูลค่ากว่า 60 ล้านบาทไว้แล้ว
พฤติกรรมของผู้ต้องหา ยังพบว่าไม่ได้ประกอบธุรกิจใด ๆ แต่ใช้ชีวิตหรูหรามีเงินฝากเข้าบัญชีจำนวนมาก เดินทางเข้าออกประเทศด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำและใช้สิทธิพิเศษในการเข้าออกประเทศ นอกจากนั้นยังสามารถยึดเงินสดภายในบ้าน 1,500,000 บาท รถยนต์หรูกว่า 10 คัน สินค้าแบรนด์เนมอีกจำนวนมาก
ขณะที่ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการ สอท. เปิดเผยว่า หลังจากการสืบสวนเส้นทางการเงินจนพบว่า ผู้ต้องหาคนจีนได้เข้ามาซื้อหมู่บ้านหรูและเป็นผู้บริหารเงินในวอลเล็ทด้วยตัวเอง ก่อนจะเอาเงินออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านจนพบว่าเข้าข่ายการกระทำผิดอาชญากรรมระหว่างประเทศ จึงขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาใน 3 ข้อกล่าวหา คือ มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน ส่วนบ้านที่ตรวจยึดไว้พบว่าได้จ้างคนไทย 2 คน ที่พบว่าเป็นเจ้าของร้านขายของชำ เป็นนอมินีเปิดบริษัทนิติบุคคล 47 บริษัท ให้ทำธุรกรรมแทน
ส่วนผู้ต้องหาคนจีน 2 คนนี้ ถือว่าเป็นหัวหน้าขบวนการ และเป็นผู้บริหารทั้งเงินในวอลเล็ท ส่วนภรรยาก็จะนำเงินสดไปฝากในตู้รับฝากเงินสดครั้งละ 50,000-100,000 บาท และภายในบ้านที่ซื้อไว้ใช้เป็นที่ตั้งของสมาคมคนจีน นอกจากนั้นยังพบซิมการ์ดของประเทศเพื่อนบ้าน และสกุลเงินต่างประเทศจำนวนมาก
ส่วนสถานที่ทำงานหลักของกลุ่มนี้จะตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้ไทยเป็นที่พักอาศัย ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยง และจับผู้ต้องหาในระดับกลุ่มผู้บริหารได้ รวมทั้งยังพบความเชื่อมโยงกับเงินในกลุ่มคอลเซ็นเตอร์และอื่น ๆ อีกจำนวนมาก
ด้าน พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผู้บัญชาการ สอท. เปิดเผยว่า โครงการบ้านพักหรูที่เข้าตรวจค้นได้ขอหมายค้นตรวจสอบ 5 หลัง แต่ทางนิติบุคคลของโครงการได้แจ้งกับตำรวจว่ามีบ้านที่อยู่ในความครอบครองเจ้าของเดียวกันรวม 19 หลัง จึงได้เข้าตรวจสอบและพบมีคนจีน 22 คน เมียนมา 10 คน กัมพูชา 2 คน และคนพื้นที่สูง 1 คน จากการตรวจสอบวีซ่าเข้าประเทศ พบว่าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว 41 คน ยังมีวีซ่าพิเศษ เข้าออกประเทศไทยไม่จำกัด วีซ่าบั้นปลายชีวิต และวีซ่านักท่องเที่ยว
นอกจากนั้นจากการวิเคราะห์เส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาพบว่า ยังมีบัญชีม้า และความเชื่อมโยงกับคดีอื่น ๆ ทางตำรวจ สอท.จะเก็บข้อมูลไว้เชื่อมโยงกับคดีอื่น ๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน
ขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้ที่ยื่นเรื่องร้องเรียนให้ตำรวจตรวจสอบ เปิดเผยว่า คดีนี้ต่างจากคดีของนายตู้ห่าว ที่จะเป็นอาชญากรรมจากกลุ่มคนจีนสีเทาที่เห็นได้อย่างชัดเจน แต่คดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่ตรวจสอบได้ยาก หรือเรียกว่า Indirect Crime เนื่องจากมีความซับซ้อนในแผนแผนประทุษกรรม ทั้งในเรื่องการเงิน และวิธีการหลอกลวงแบบไฮบริดสแกม แต่ในการฟอกเงินก็จะใช้คนไทยมาเป็นนอมินีแทนเหมือนเดิม เพื่อให้จัดตั้งบริษัท รวมทั้งมีทั้งกลุ่มที่จะจ่ายเงินกับเจ้าหน้าที่
นายชูวิทย์ กล่าวว่า จากนี้เชื่อว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางของกลุ่มทุนจีนสีเทาที่จะเข้ามาก่อเหตุอาชญากรรมเพิ่มขึ้น เนื่องจากจีนมีการปราบปรามกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายมากขึ้น และจะหนีหมายจับมาในไทย รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน เพราะจะไม่ไปในทวีปยุโรป ซึ่งการเข้ามาอยู่ในไทยของคนจีน จะเห็นได้ว่ามักรวมกลุ่มกันอยู่จำนวนมาก ซื้อบ้าน 10-20 หลัง โดยกลุ่มคนจีนสีเทาเหล่านี้ ยังพบความเชื่อมโยงกับนายจ้าวเหว่ย รวมทั้งกลุ่ม Y Group กาสิโนใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเงินก็จะหมุนเวียนอยู่กับกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ ส่วนประเทศไทยเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนจีนเข้ามาในไทยได้ง่าย เพราะมีวีซ่าหลายรูปแบบ แต่ไม่มีการเชื่อมโยงระบบหมายจับของประเทศจีนเพื่อให้ตรวจสอบคัดกรองคนที่ผิดกฎหมายก่อนเข้าประเทศ