วันนี้ (1 พ.ค.2566) ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานว่า ขณะนี้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทางการเงิน พัฒนาระบบไบโอเมตตริกเพื่อยืนยันตัวตนก่อนทำธุกรรม เปลี่ยนวงเงิน หรือโอนเงิน เกิน 50,000 บาท รวม 3 แห่ง ได้ แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และทรู มันนี่
ขณะที่สถาบันการเงินอื่น ๆ อยู่ระหว่างทดสอบความพร้อมของระบบ แต่เชิญชวนให้ประชาชนปรับปรุงข้อมูลส่วนตัวและถ่ายภาพใบหน้า ทั้งผ่านช่องทางสาขา โมบายแอปพลิเคชันของธนาคาร และตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทยและกสิกรไทย ที่ได้พัฒนาตู้เอทีเอ็มที่มีช่องเสียบบัตรประชาชน
ส่วนการยืนยันตัวตนผ่านโมบายแอปพลิเคชัน ผู้ใช้บริการสามารถเลือกไปที่การตั้งค่า และหาคำว่า NDID ซึ่งเป็นโครงสร้างสร้างพื้นฐานระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแล หากเจ้าของบัญชีเคยถ่ายภาพใบหน้ากับธนาคารพาณิชย์ก็สามารถยืนยันตัวตนกับธนาคารพาณิชย์แห่งอื่น และสแกนใบหน้าก่อนทำธุรกรรมที่มีวงเงินเกิน 50,000 บาท โดยไม่ต้องเดินทางไปสาขา แต่หากระบบ NDID ระบุว่า การลงทะเบียนไม่สมบูรณ์ ก็ต้องไปสาขาธนาคารเท่านั้น
ไม่เพียงการพัฒนาระบบความปลอดภัยของธนาคารแต่ละแห่ง แต่นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ร่วมกันลงทุนระบบกลางเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมที่เข้าข่ายผิดปกติ เพื่อวิเคราะห์และตรวจจับการทุจริต เช่น กรณีมิจฉาชีพ หลบเลี่ยงเงื่อนไข สแกนใบหน้า โดยโอนครั้งละ 49,999 บาท หลาย ๆ ครั้ง ระบบก็จะตรวจจับว่าอาจเข้าข่ายความเสี่ยง
ส่วนการปรับปรุงระบบความปลอดภัยตามมาตรฐานขั้นต่ำของแบงก์ชาติ คาดว่า สถาบันการเงินสมาชิกจะทยอยปรับปรุงครบทุกเงื่อนไขภายในสิ้นปีนี้ ตามกำหนด ส่วนการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตันตน จะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.2566