กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้คนมีอายุ 16 ปีขึ้นไป ใช้จ่ายใน 6 เดือน โดยซื้อของจากร้านค้าในรัศมี 4 กม.รอบที่พัก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่นโยบายประชันด้วยตัวเลข ล่าสุดพรรคพลังประชารัฐ ปรับวิธีการหาเสียงหลังได้หมายเลขปาร์ลิสต์ 37 โดยใช้สโลแกน
เลือกพลังประชารัฐได้อย่างน้อย 3,700 จากนโยบายเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท และเพิ่มเงินบัตรสวัสิดการแห่งรัฐ 700 บาท
เช่นเดียวกับรวมไทยสร้างชาติ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยประกาศเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 1,000 บาท
นักเศรษฐศาสตร์ หวั่นประชานิยมกระทบภาระงบฯ
รศ.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ มองว่า นโยบายแจกเงิน 10,000 บาท หากได้ทำจริง มีข้อเสียคือการเพิ่มภาระงบประมาณ และซ้ำเติมหนี้สิน ส่วนข้อดีคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวอยู่แล้ว และยังมีเงินจากช่วงเลือกตั้งกว่า 96,000 ล้านบาท ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว ดังนั้นนโยบายนี้จึงเป็นเรื่องหาเสียงมากกว่า
เป็นการหาเสียง เป็นการแข่งกันประชานิยม ถ้าจำเป็นจริงๆ จะออกมาในเรื่องของผู้ที่ยากไร้ ของนโยบายพลังงาน แต่เป็นประโยชน์ในการหาเสียงให้เงิน 10,000 บาทเข้ากระเป๋าเป็นวอลเล็ต
"ชัยวุฒิ" ชี้คล้ายกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้าน
ด้านชัยวุฒิ ธนาขมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มองว่า นโยบายนี้เป็นมุขเดิมของเพื่อไทย เช่น สมัยก่อนกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท แบ่งกันในหมู่บ้าน แต่เปลี่ยนเป็น 10,000 บาท
ก็คล้ายๆเดิม มุขเดิม แต่เปลี่ยนจาก 1 ล้านเป็น 10,000 บาท ขอศึกษาก่อน
"อนุทิน" ปฏิเสธวิจารณ์นโยบายแจกเงินดิจิทัล
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ไม่อยากวิจารณ์ แต่มั่นใจว่านโยบายพรรคมีประโยชน์ ทำได้จริง และย้ำว่าประชาชนไม่ใช่ยาจก แต่เป็นคนมีพระคุณต่อพรรค ดังนั้นต้องทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น ไม่มองว่าเขาเป็นคนแบมือขอ แล้วพรรคก็ให้ทุกอย่าง
ประชาชนไม่ใช่ยาจก ประชาชนคือคนที่มีพระคุณต่อพรรคการเมืองทุกพรรค เราต้องให้เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโอกาสในการเสริมสร้างรายได้ทำมาหากิน ไม่ใช่แบมือขอ แบบนี้เหมือนไม่เห็นศีรษะ
พิชาย" ชี้เป็นประชานิยมสุดขั้ว หวั่นกระทบหนี้สาธารณะ
เช่นเดียวกับ รศ.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและยุทธ ศาสตร์การบริหาร นิด้า โพสต์เฟซบุ๊กตั้งคำถามว่า “เพื่อไทยกำลังทำอะไร” และวิเคราะห์ว่าคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป มี 54 ล้านคน
ถ้าต้องจ่ายคนละ 10,000 บาท เท่ากับต้องใช้เงินมากกว่า 540,000 ล้านบาท เป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว ซึ่งน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่อาจเป็นภาระงบฯ ที่ต้องกู้เงินหรือตัดงบฯ หน่วยงานอื่นเพื่อนโยบายนี้ ซึ่งสร้างปัญหาเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะตามมา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
"เพื่อไทย" ปราศรัยใหญ่ ชู 11 นโยบาย เดินหน้าแลนด์สไลด์
"ชูวิทย์" จ่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งห้ามพูดถึงนโยบายกัญชา
"ชัยวุฒิ" มั่นใจเสียงตอบรับชาวลพบุรีดีมาก คาด "พปชร." ชนะยกจังหวัด