ไม่ใช่หวังให้เป็นภาพแห่งความทรงจำของการประชุม ครม.รักษาการนัดแรกหลังยุบสภา และไม่ใช่เพียงสวมกอดเป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิด “บิ๊กตู่” เท่านั้น
เพราะในทางการเมือง ย่อมเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายมีนัยมากกว่านั้น อย่างน้อยเป็นการแสดงความรักความผูกพันห่วงใยระหว่างพี่กับน้อง และสะท้อนความพร้อมจะร่วมตั้งรัฐบาลด้วยกันกับ พล.อ.ประยุทธ์และพรรครวมไทยสร้างชาติ
หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีดีลจับมือกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพรรคพลังประชารัฐ เป็นสัญญาใจร่วมกันตั้งรัฐบาลแบบไม่ทิ้งกัน คล้ายกับที่เคยประกาศจับมือผนึกกับพรรคประชาธิปัตย์แบบ ไปไหนไปด้วยกัน หลังเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งขณะนั้น การตั้งรัฐบาลส่อเค้าเป็นปัญหาเพราะเสียงปริ่มน้ำ
แม้นายอนุทินจะพยายามปฏิเสธว่า การกอด พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีนัยทางการเมือง และไม่ได้ส่งสัญญาณดีลจับขั้วล้มแลนด์สไลด์พรรคเพื่อไทย แต่ทำตามผู้สื่อข่าวบอกให้กอด แต่ในเชิงการเมือง ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีความหมายและความสำคัญซุกซ่อนอยู่ในที ไม่ใช่กอดกันพร่ำเพรื่อ นึกอยากจะกอดก็กอด
เหมือนในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร สมัยที่ 2 หลังเลือกตั้งปี 2548 ที่พรรคไทยรักไทยแลนด์สไลด์ ได้ ส.ส.377 คน ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ก็เคยมีภาพนายเนวิน ชิดชอบ หนึ่งในครม.ของนายทักษิณขณะนั้น สวมกอดนายทักษิณอย่างแนบแน่นที่ทำเนียบรัฐบาลเช่นกัน ในช่วงที่นายทักษิณ ขอลาพักการปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกฯปี 2549 จึงปรากฏภาพกอดให้กำลังใจดังกล่าว เป็นภาพจำหนึ่งกระทั่งจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าในเวลาต่อมา ปี 2551 หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน นายเนวินและกลุ่มเพื่อนเนวินจะโบกมือลา แยกไปตั้งอยู่พรรคภูมิใจไทย และร่วมสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น จากผู้นำฝ่ายค้าน ไปเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับวลีที่ถูกจดจำและเล่าขานกันต่อ ๆ มา ว่า “มันจบแล้วครับนาย” แม้ในความเป็นจริง คนที่รู้ดีที่สุดว่ามีคำพูดนี้หรือไม่ คือนายทักษิณ กับนายเนวิน
กล่าวสำหรับนายอนุทิน ถึงปัจจุบันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเปียกชุ่มไปด้วยประสบการณ์ทางการเมืองที่เพาะบ่มจนได้ที่แล้ว จึงไม่ใช่ละอ่อนทางการเมือง รู้จังหวะเวลาว่า ในแต่ละช่วงแต่ละเหตุการณ์ควรต้องทำอย่างไร
เพราะแม้แต่กับนายทักษิณ นายอนุทินไม่เคยตอบโต้หรือวิพากษ์รุนแรง ตรงกันข้ามกลับยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือ เช่นเดียวกับที่ไม่เคยวิพากษ์ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในทางลบเลย
ขณะที่ในช่วงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพักการทำหน้าที่นายกฯ ขณะรอศาลรัฐธรรมนูญตัดสินปมการเป็นนายกฯ 8 ปี ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว นายอนุทิน ไม่พลาดกับการไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ พาหมอไปรักษาอาการหลังมือเป็นสะเก็ด และไปนั่งกินข้าวกระเพราไก่ ที่กระทรวงกลาโหมด้วย
เช่นเดียวกับเรื่องคูเหลี่ยมทางการเมือง หลายครั้งที่พรรคภูมิใจไทยแสดงออกในเรื่องที่ต่างไปจากรัฐบาล หรือเป็นประเด็นร้อน โดยเฉพาะจากนายศุภชัย ใจสมุทร เหรัญญิกพรรค ที่มักเป็นคนออกหน้าแถลงหรือตอบโต้แบบจัดหนัก เช่น กรณี พ.ร.บ.กัญชากัญชง หรือเรื่องจะเอาคืนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกโรงโจมตีพรรคภูมิใจไทย ทั้งกัญชาเสรี และรถไฟฟ้าสายสีส้ม
ถึงขั้นไฟเขียวให้ผู้สมัคร ส.ส.ไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายชูวิทย์ ใน 400 เขตเลือกตั้ง แต่สุดท้าย นายอนุทินเป็นคนออกโรงปฏิเสธว่า ไม่ใช่เป็นมติพรรค กระทั่งถูกมองว่า เป็นการเดินเกมการเมืองแบบ “เซียนเหยียบเมฆ” หรือที่บางอาจมองว่า เป็นการเล่นการเมืองแบบ 2 หน้า
แม้ในช่วงถูกกดดันไล่ต้อนไล่ต้อน “เสี่ยหนู” ก็มีทางออกให้เสมอๆ มิหนำซ้ำ มีลูกล่อลูกชน อย่างเรื่องเตรียมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองใดได้บ้าง นายอนุทินจะอ้างทันทีว่า “เร็วไปที่จะพูด” ต้องรอผลการเลือกตั้งออกมาเสียก่อน
ชั้นเชิงและลาไม่ธรรมดา เช่นเดียวกับภาพการโอบกอดพลอ.ประยุทธ์ ที่ส่งผลให้ใครบางคนนอนหลับฝันดีตลอดคืน เพระอย่างน้อยก็ยังมีความหวังจะได้ไปต่อ
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา