เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2566 นายสมพร อ่อนชาติ ปลัดอำเภอเมืองตรัง หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง นายธวัชชัย กรเพชร ปลัดอำเภอเมืองตรัง ฝ่ายความมั่นคง และกำลังกองร้อย อส.อ.เมืองตรัง เข้าตรวจสอบร้าน pop up บริเวณถนนรัษฎา ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง หลังได้รับการประสานขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนแห่งหนึ่งว่า มีนักเรียนนำบุหรี่ไฟฟ้ามาสูบในสถานศึกษา ซื้อมาจากร้านดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานศึกษา
ร้านดังกล่าวพบว่าด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายเสื้อผ้ามือสอง และมีร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ด้านใน มีนายเรวัฒน์ อายุ 31 ปี ชาวตำบลนาโยงเหนือ นาโยง แสดงตัวเป็นเจ้าของร้าน
เบื้องต้นพบของกลาง 11 รายการ เช่น บุหรี่ไฟฟ้าชนิดสูบแล้วทิ้ง 269 ชิ้น บุหรี่ไฟฟ้าชนิดเปลี่ยนหัว 32 ชิ้น ตัวเติมน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอีก 32 ชิ้น และอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้าอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนนำนายเรวัฒน์ ไปทำบันทึกจับกุมที่ว่าการอำเภอเมืองตรัง และรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
ระหว่างนั้น มีกลุ่มนักเรียนประมาณ 6 คน ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดหน้าร้าน เพื่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้าท่ามกลางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจำนวนมาก
ก่อนเจ้าหน้าที่จะทำการสอบถามนักเรียนคนหนึ่งอายุ 15 ปี บอกว่า เคยมาซื้อบุหรี่ไฟฟ้าที่ร้านแห่งนี้ เพราะเพื่อนแนะนำ
เคยมาซื้อบุหรี่ไฟฟ้าได้ 2-3 เดือนแล้ว เพื่อนแนะนำมาราคาประมาณ 200-300 กว่าบาทมาซื้อร้านนี้ร้านเดียว
ขณะที่ปลัดอำเภอว่า กล่าวตักเตือนและลงโทษด้วยกันให้เด็ก และเยาวชนกลุ่มดังกล่าว วิดพื้นเพื่อเป็นการลงโทษคนละ 10 ครั้ง โดยที่ไม่ได้เอาผิดแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีการซื้อขายกัน
ครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าถือว่ามาแรงในปัจจุบัน ซึ่งที่พบมีมากในกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา และที่น่าเป็นห่วงก็พบในระดับชั้นป.5 และป.6 เช่นเดียวกัน
ตอนนี้มีเด็กสูบลงมาถึงระดับประถมแล้ว ป.5- ป.6 จากเดิมเป็นระดับ ม.ต้น และผู้ปกครองร้องเรียนมาบ่อย แต่โรงเรียนไม่สามารถควบคุมภายนอกได้ ทำตามระเบียบของโรงเรียน
อ่านข่าวเพิ่ม บุหรี่ไฟฟ้า? สินค้าต้องห้ามครอบครองผิดกฎหมาย
สอบตร.พัทยาถูกกล่าวหารีดเงินบุหรี่ไฟฟ้าทัวร์จีน
ขณะที่ทีมข่าวสำรวจย่านท่องเที่ยว ทั้งห้วยขวาง กทม. และพัทยา จ.ชลบุรี กลับพบร้าน หรือ การเร่ขายบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ทั่วไป คำถามคือขายบุหรี่ไฟฟ้า มีความผิด แล้วคนซื้อ ผิดด้วยหรือไม่ สรุปว่า ผิดทั้งหมด ทุกกรณี ทั้งนำเข้า จำหน่าย ครอบครอง และสูบ เพราะกฎหมายไทย กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าต้องห้าม
หากดูกฎหมายที่ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในไทย แยกเป็นรายกรณี กรณีแรก "นำเข้า" ถือว่าผิด ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับ 5 เท่า ของสินค้านำเข้าและผิด พ.ร.บ.ศุลกากร เพราะนำเข้า "สินค้าต้องห้าม"
กรณีที่ 2 "จำหน่าย" จะผิด พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับ 600,000 บาท และ "ครอบครอง" มีกฎหมายควบคุมอยู่ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ศุลกากร "ซื้อหรือมี" บุหรี่ไฟฟ้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท
และกฎหมายอีกฉบับ ที่เจ้าหน้าที่จะนำมาเอาผิด คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ ซึ่งระบุว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะ ที่เป็นเขตปลอดบุหรี่ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด ปรับไม่เกิน 5,000 บาท
ตำรวจเน้นคุมบุหรี่ไฟฟ้ายังพบลักลอบ
ด้าน พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กล่าวว่า ตำรวจ ปคบ. จะเน้นควบคุมภายในประเทศ คือเอาผิดกับผู้จำหน่าย ท้งนี้พบว่าบุหรี่ไฟฟ้า ถูกลักลอบนำเข้ามาทางเส้นทางธรรมชาติ เพราะถ้าเข้ามาทางศุลกากร ไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะเป็นสินค้าต้องห้าม
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบในโซเชียลมีเดีย พบว่าบุหรี่ไฟฟ้าถูกประกาศขายจำนวนมาก ราคาเริ่มต้นหลักร้อยบาท ไปจนถึงราคาหลักพัน ซึ่งเมื่อวางขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ซื้อได้ โดยไม่จำกัดเพศ และวัย โดยสังเกตพบว่าบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ จะขายเป็นชุดพร้อมสูบ ประกอบด้วยตัวเครื่องบุหรี่ไฟฟ้า และน้ำยา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
พิษร้าย "บุหรี่ไฟฟ้า" ทำลายสมองเด็ก วิจัยพบสารเคมี 2 พันชนิด