วันนี้ (20 ธ.ค.2565) เวลา 17.00 น. พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ แถลงเกี่ยวกับกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปางกลางอ่าวไทย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ที่วันนี้ได้พบร่างของผู้เสียชีวิต จากการปฏิบัติการลาดตระเวน ในวันนี้ได้พบผู้ประสบภัยเพิ่มขึ้น 6 คน เป็นผู้รอดชีวิต 2 นาย และเสียชีวิต 4 คน
พล.ร.อ.เชิงชาย ระบุว่า ในวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา เรือหลวงสุโขทัยได้รับภารกิจออกลาดตระเวนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล และได้รับภารกิจนำกำลังพลไปสนับสนุนการจัดงานครบรอบ 100 ปี พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อเทิดพระเกียรติที่ จ.ชุมพร
ในวันนั้นเรือหลวงสุโขทัยเดินทางไปพร้อมกับเรือหลวงกระบุรี แต่พบคลื่นลมแรง ไม่สามารถไปทิ้งสมอได้ จึงขออนุญาตทัพเรือภาค 1 เพื่อไปเทียบท่าเรือน้ำลึก อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นเรือหลวงกระบุรีได้จอดเทียบท่าเรือบางสะพาน แต่เรือหลวงสุโขทัยเผชิญคลื่นลมแรง
เปิดวินาทีน้ำเข้าเรือหลวงสุโขทัย ก่อนเรืออับปาง
พล.ร.อ.เชิงชาย ระบุว่า รับทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้น มีน้ำเข้าเรือในปริมาณมาก โดยน้ำเข้าที่หัวเรือ ทำให้เกิดความเสียหายจากระบบเครื่องไฟฟ้า ระบบเครื่องจักรช่วยของเรือ ทางเรือพยายามสูบน้ำออกตามขั้นตอน แต่ไม่สามารถส่งน้ำออกได้ทันกับปริมาณน้ำที่เข้ามา ทำให้น้ำเข้ามาในเรือมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปกติเรือรบจะทนทะเลมากกว่าเรือทั่ว ๆ ไป เพราะเป็นเรือที่สร้างขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการรบ มีการผนึกน้ำ เพื่อสร้างให้เกิดกำลังลอยภายในเรือให้สู้รบได้ แตกต่างจากเรือสินค้า
เมื่อเรือไม่สามารถสู้กับน้ำที่เข้ามาได้ ทำให้ไม่สามารถบังคับเรือได้ เพราะน้ำเข้ามาท่วมระบบเครื่องจักรช่วยสำคัญ เครื่องยนต์ซ้ายเริ่มดับ หลังน้ำเข้าเรือ เหลือเครื่องยนต์ขวาเพียงเครื่องเดียว ทั้งยังสูญเสียการควบคุมใบจักร สุดท้าย น้ำท่วมจนทำให้เครื่องไฟฟ้าดับทั้งหมด เครื่องจักรสูญเสียไป กลายเป็นเรือที่มีสภาพลอยลำกลางทะเล จนทำให้มีภาพเรือเอียงตามภาพข่าวที่ได้เห็น
ขณะนั้นได้รับรายงานว่าสภาพน้ำที่เข้าในตัวเรือหลวงสุโขทัยเริ่มคงที่ เรือเอียง 60 องศา กองทัพเรือได้ติดต่อกับท่าเรือบางสะพาน เพื่อขอเรือทักขนาดใหญ่ เพื่อมาลากเรือกกลับบางสะพาน และขอความช่วยเหลือเรือใกล้เคียง
ภารกิจช่วยเหลือกำลังพลกลางอ่าวไทย
ระหว่างเรือสุโขทัยประสบปัญหา ได้ร้องขอทัพเรือภาคที่ 1 โดยต่อมาได้มีการสั่งการให้เรือหลวงกระบุรี ซึ่งอยู่ห่างกันกัน 20 ไมล์ จากท่าเรือบางสะพาน แต่สภาพคลื่นลมเวลานั้นยังแรงอยู่ และสั่งการให้เรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงภูมิพล พร้อมกับเครื่องบินลาดตระเวน และ ฮ. รวมถึงเรือดำน้ำ ในการช่วยเหลือเรือหลวงสุโขทัย
หลังจากเรือหลวงสุโขทัยเอียง 60 องศา เข้าสู่สภาพต้องสละเรือใหญ่ โดยกำลังพลทุกนายต้องสวมเสื้อชูชีพและขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อรอความช่วยเหลือ เรือกระบุรีจะเข้าไปช่วยลำเลียงกำลังพลก็ไม่สามารถดำเนินการได้ แต่เรือรบทุกลำจะมีการติดตั้งแพชูชีพอัตโนมัติ ซึ่งสามารถปลดได้เมื่อเรือจมลงน้ำ ซึ่งแพดังกล่าวบรรจุกำลังพลได้ 15 คน มีทั้งหมด 6 แพ ในกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังมีแพชูชีพเรือหลวงกระบุรี และแพชูชีพที่ลำเลียงมาจากเครื่องบินลาดตระเวนที่ทิ้งลงไปให้กำลังพลเรือหลวงสุโขทัยด้วย
ทั้งนี้ จากการได้รับรายงานจากเรือหลวงสุโขทัยที่ คาดว่าหากเรือทักจากบางสะพานมาถึง จะสามารถลากเรือไปได้ กำลังพลเรือหลวงสุโขไทยจึงไม่ได้สละเรือ แต่ขณะนั้นคลื่นลมแรงมาก 3-4 เมตร ทางกองทัพเรือได้สั่งการให้เรือหลวงกระบุรีช่วยเหลือตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเรือเริ่มเอียงขึ้น และจมลงจากด้านท้ายลงไปจนถึงหัวเรือตั้งขึ้น ช่วงนั้นทำให้เกิดการชุลมุน กำลังพลบางส่วนให้กำลังพลที่ไม่มีเสื้อชูชีพขึ้นแพชูชีพ ส่วนกำลังพลบางส่วนที่ถูกคลื่นพัดเมื่อเรือจม ก็พยายามว่ายน้ำไปที่เรือหลวงกระบุรี โดยมีการส่งเชือกและบันไดเล็ก และเรือเล็กจากเรือหลวงกระบุรีด้วย
เรือทัก เรือสินค้า และเรือน้ำมันก็ได้ช่วยเหลือกำลังพลจากแพชูชีพได้ประมาณเกือบ 20 คน สรุปแล้วเวลานั้น สามารถช่วยเหลือกำลังพลได้ 75 คน ยังสูญหายอีก 30 คน ในช่วงนั้น เรือกระบุรีก็พยายามนำเรือค้นหาผู้สูญหาย แต่ไม่พบผู้สูญหายเพิ่มเติม
เรือกระบุรีมีผู้บาดเจ็บ เลือดออกที่ศีรษะในปริมาณมาก และมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต และมีกำลังพลที่แขนหัก ขาหัก จึงได้ขออนุญาตเดินทางกลับไปท่าเรือบางสะพาน เพื่อส่งกำลังพลที่บาดเจ็บไปรักษาตัว แต่ในตอนนั้นมีเรือทัก 2 ลำ เรือน้ำมัน เรือสินค้าอีก 2 ลำ จึงคาดว่าจะช่วยกำลังพลอีก 30 นายได้ ขณะนั้นเรือหลวงอ่างทองเดินทางถึงพื้นที่เวลา 06.00 น. เพื่อค้นหากำลังพลต่อไป
พล.ร.อ.เชิงชาย ยืนยันว่า หลังจากนี้จะต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามระเบียบของกองทัพเรือ และต้องมีการรายงานความสูญเสียทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย ดังนั้น ทั้งสาเหตุเรือจม รวมถึงเรื่องเสื้อชูชีพไม่เพียงพอ ก็ต้องมีการสอบสวนและรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมด
เครื่องบินของกองทัพอากาศตกต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบสาเหตุและรายงานข้อเท็จจริง ในบางเรื่องเราสามารถเปิดเผยได้ แต่บางเรื่องก็ต้องเป็นไปตามข้อมูลข่าวสาร ยืนยัน กองทัพเรือไม่ปกปิด และจะรายงานทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งนี้ ปัจจุบันเรือหลวงสุโขทัยมีอายุ 36 ปี ซึ่งตามระเบียบและข้อกำหนดมีอายุใช้ราชการ 40 ปี แต่สภาพและอุปกรณ์บนเรือหลวงสุโขทัยยังมีความสามารถใช้งานได้ตามปกติ มีขีดความสามารถสูงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกองทัพเรือมีแนวความคิดว่าจะขยายอายุของเรือหลวงสุโขทัยไปอีกอย่างน้อย 5-10 ปี ก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
ล่าสุด เวลา 18.15 น. พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ แถลงรายละเอียดเพิ่มเติม โดยยืนยันว่า กำลังพลที่พบเพิ่ม 6 นาย เสียชีวิต 5 นาย และรอดชีวิต 1 นาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบเพิ่มเติมต่อไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
“กองทัพเรือ” ยันไม่เลิกค้นหาอีก 24 นาย มั่นใจจะพบผู้รอดชีวิต
นายกฯสั่งสอบสาเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง - หวังลูกเรือยังมีชีวิตอยู่
ปูพรมค้นหา 30 ไมล์ทะเลแข่งเวลาช่วย 30 ลูกเรือ