หลังจาก กสทช.อนุมัติเงินซื้อลิขสิทธิ์จำนวน 600 ล้านบาท เเละยังมีข่าวว่า เอกชนบางราย ได้ร่วมยื่นมือช่วยเหลือเเล้วประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งยังขาดอีกประมาณ 200 ล้านบาท จึงจะครบ 1,600 ล้านบาท ตามตัวเลขเต็มเพดาน ที่ทางฟีฟ่าต้องการ
ล่าสุด นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ปฏิเสธถึงตัวเลขที่มีภาคเอกชน เข้ามาช่วยเหลือ พร้อมกับยอมรับว่า หนักใจ เเละย้ำว่าตอนนี้ กกท.ได้พยายามทำทุกวิถีทาง ทั้งส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังภาคเอกชนต่าง ๆ
รวมทั้งการพูดคุยถึงความเป็นไปได้ว่าไทยจะซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกเเบบเต็มเเพ็กเกจ 64 นัด หรืออาจจะซื้อเเพ็จเกจที่ลดหลั่นลงไป เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมที่สุด เเละต้องการให้ราคาต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท
สำหรับเส้นตายของการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก อยู่ที่ก่อนเกมนัดเปิดสนาม เจ้าภาพกาตาร์ พบ เอกวาดอร์ ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 23.00 น.
ขณะที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช.เผยว่า บอร์ด กสทช. เตรียมปรับปรุงกฎ Must Have หลังจบฟุตบอลโลกในปีนี้ อย่างแน่นอน เพราะเป็นกฎที่คณะกรรมการชุดเดิมออกมาใช้ในแพลตฟอร์มสมัยก่อน ซึ่งไม่ครอบคลุมความต้องการทางกลไกตลาดในยุคปัจจุบัน โดย มองว่าไม่ใช่หน้าที่ของ กสทช.ที่ต้องนำเงินมาจ่ายทุก 4 ปีนั้นเอง
เเต่อีก 6 รายการกีฬาที่เหลือยังคงไว้ตามกฎ Must Have เช่นเดิม คือ ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์ , เอเชียนเกมส์, เอเชียนพาราเกมส์ , โอลิมปิกเกมส์ และ พาราลิมปิกเกมส์ เนื่องจากเป็นรายการที่มีนักกีฬาไทยไปแข่งขัน ส่วนฟุตบอลโลก จะนำกลับมาพิจารณาในอนาคต หากทีมชาติไทยคว้าตั๋วเข้าร่วมการเเข่งขันได้