"ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช" หรือ ฮาย ทายาททางการเมืองของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต ส.ส.เชียงราย อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตประธานรัฐสภา รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงเส้นทางการเมืองและเป้าหมายทางการเมือง ในรายการ "มุมการเมือง" ทางไทยพีบีเอส โดยเล่าให้ฟังว่า
แรกเริ่มที่เข้ามาวงการฟุตบอล และผู้หญิงในวงการฟุตบอลที่มักจะถูกเรียกว่า "มาดาม" ซึ่งตนเอง มีแฮชแท็กว่า #อย่าเรียกฮายว่ามาดาม เพราะต้องการให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย ๆ จะเรียกตนเองว่า "น้องฮาย" หรือ "ประธานฮาย" ก็ได้ตามตำแหน่ง
ไม่ต่างจากการเข้ามาทำงานการเมือง ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ก็ยังสามารถเรียก "พี่ฮาย" "น้องฮาย" หรือ "หัวหน้าฮาย" ได้ทั้งหมด
น.ส.ปวิศรัฐฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการเข้าสู่แวดวงการเมืองแต่แรกเข้ามาในฐานะทีมงาน และเมื่อพรรคเพื่อชาติ ต้องการเปลี่ยนแปลงจึงเสนอให้มีการรีแบรนด์ และปรับปรุงวัฒนธรรมในพรรคเพื่อชาติ
ต่อมาเมื่อถูกผลักดันให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติก็ไม่รู้สึกหนักใจแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมาชีวิตมีความพลิกผันอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้ยึดติดกับว่าจะต้องทำงานอะไรหรือเป็นอะไร ตราบใดที่ยังสามารถทำประโยชน์ให้กับคนรอบข้างได้ และเมื่อมาถึงจุดนี้ก็ถือว่า เป็นงานที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมไทยที่ อยากเห็น
นอกจากนี้ ด้วยการที่อยู่ในครอบครัวการเมือง สิ่งที่เห็น คือ วัฒนธรรมการเมืองไทยเป็นอำนาจนิยม จึงอยากสร้างวัฒนธรรมแบบพันธมิตร (Partnership) และการมีส่วนร่วม และความเท่าเทียม นี่จึงเป็นจุดที่อยากให้คนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าสู่สนามการเมือง และมองว่า จะเป็นการเมืองรูปแบบเก่าหรือไม่
ขณะที่ นักการเมืองต้นแบบตั้งแต่เด็กอ่านเรื่องของ มหาตมะ คานธี
ผู้นำคนสำคัญของอินเดีย ซึ่งตนเองรู้สึกว่าเป็นความยิ่งใหญ่ โดยมองทั้งความแตกต่างด้านสีผิว เชื้อชาติ ชนชั้นวรรณะ และการไม่แบ่งแยก การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เรื่องของสิทธิมนุษยชน โอกาสของคนที่เท่าเทียมกันจึงยึดถือเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด
ทั้งนี้คำแนะนำที่ได้จากคุณพ่อนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งไม่ได้สอนเป็นคำพูดโดยมักที่เป็นการทำให้ดูเป็นแบบอย่างมากกว่า ดดยท่านบอกว่า เรื่องของการใช้ชีวิต การทำงานอย่ากังวลถึงอนาคตมากเกินไป มิฉะนั้นจะไม่กล้าลงมือ
หากกล้าที่จะลงมือทำ หรือกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนา และเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ปัญหามีไว้ให้แก้ ดังนั้นก็ขอให้ลงมือทำเลย
ขณะที่เป้าหมายทางการเมือง เป้าหมายแรกคือ รีแบรนด์ ลบภาพจำเดิมของพรรคเพื่อชาติในอดีต และสร้างวัฒนธรรมการเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งต้องการที่จะได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด โดยเฉพาะฐานเสียงในพื้นที่ภาคเหนือ อยากขยายให้เป็นตัวจริงและเป็นตัวแทนของคนไทย และมุ่งมั่นให้เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในอนาคต
ตั้งแต่ประกาศว่าเราจะเป็นตัวจริงในการลงสนามเลือกตั้งครั้งนี้ ก็มีคนสนใจติดต่อร่วมงานเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงภาคเหนือเท่านั้น แต่มีภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคกลางและกรุงเทพฯ ก็พยายามส่งผู้สมัคร ส.ส.ให้ครบทุกเขต
ขณะที่เป้าหมายตัวเลข ส.ส.ของพรรค อยากได้ ส.ส.จำนวน 10 ที่นั่ง เพราะจากเดิมที่ได้ ส.ส.จำนวน 5 ที่นั่ง หรือ หากบอกว่าตั้งเป้าหมาย ส.ส.20 ที่นั่ง หรือ ส.ส.50 ที่นั่ง ก็อาจถูกมองว่าไม่ประมาณตน เพราะเป็นประสบการณ์ทางการเมืองครั้งแรกของตนเอง แต่ก็อยากได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
รวมถึงนโยบายที่อยากทำคือ นโยบายด้านการศึกษา เพราะเป็นต้นตอของปัญหาในสังคมไทย และเรื่องเร่งด่วน คือ เศรษฐกิจและปากท้อง
นี่คือจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญ หากไม่เริ่มตอนนี้ จะเริ่มเมื่อไหร่ จึงตัดสินใจกระโดดเข้าสู่สนามการเมือง
น.ส.ปวิศรัฐฐ์ ยังกล่าวว่า การทำอะไรต้องตั้งเป้าหมายไว้สูงสุด แต่ขณะนี้ที่อายุ 30 ปี ย่าง 31 ปี การที่จะเป็นรัฐมนตรีก็ยังไม่สามารถเป็นได้เพราะคุณสมบัติยังไม่ครบ
แต่ในอนาคตหากสั่งสมประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน และหากสมาชิกพรรค หรือพรรคร่วมรัฐบาลไว้วางใจก็พร้อมที่จะทำหน้าที่
ขณะที่การเป็นทายาททางการเมือง นั้น เป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ตลอดชีวิต ตั้งแต่เรียน แม้ว่าจะเรียนดี ก็จะถูกมองว่าเพราะครอบครัวมีความพร้อมอยู่แล้ว ได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของตนเองที่ต้องพิสูจน์ว่า เรามีความสามารถ มีความพร้อม ด้วยตัวของเราเอง มีอิสรภาพทางความคิด ในการเลือกสิ่งต่าง ๆ ตลอดมา สิ่งต้องพิสูจน์มาตั้งแต่สมัยเรียนมาจนถึงการทำงานที่หลากหลาย อาชีพ หลากหลายบทบาท