เปิดตัว "พีรพร" ทายาทไพโรจน์-ระนองรักษ์ สวมเสื้อภูมิใจไทยสู้ศึกโคราช

วันนี้ (28 ก.ย.2565) นายพีรพร สุวรรณฉวี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมาพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์เปิดเส้นทางการเมืองในรายการ "มุมการเมือง" ไทยพีบีเอส โดยระบุว่า 

ซึมซับงานการเมืองจาก "พ่อ-แม่"  

การเข้าสู่สนามการเมือง แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าเป็นครอบครัวการเมือง แต่ตั้งแต่เด็กเติบโตมาจากครอบครัวนายอำเภอย้ายตามคุณพ่อ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ไปในหลายจังหวัดและได้คลุกคลีกับประชาชน

ตนเองก็ได้ประชาชนในพื้นที่ดูแลและเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็กและได้ซึมซับมาโดยตลอด จากนั้นคุณพ่อจากนายอำเภอก็มาเป็น ส.ส.และ รมช.พาณิชย์ โดยสิ่งสำคัญที่ไม่เคยลืม คือ พื้นที่และประชาชนโดยเข้าถึงปัญหาและรับฟังปัญหาและอยากลงไปทำแบบที่คุณพ่อเคยทำ

ตอนจบ ป.ตรี คณะเศรษฐศาสตร์ คุณแม่ (ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เป็นอดีต รมช.คลัง ก็ให้ไปเรียนรู้งานข้างในกระทรวงฯ ก็มีความตื่นเต้น เพราะได้พบกับที่ปรึกษาเก่ง อธิบดีเก่ง ๆ และข้าราชการเก่ง ๆ เยอะ ก็กระตือรือร้นจากตรงนั้นมาด้วย แต่พื้นฐานเรามาจากคนต่างจังหวัด เราก็ไม่เคยลืมว่าเราต้องไปดูแลพี่น้อง

หลังจากนั้นก็เห็นคุณพ่อ คุณแม่ลงพื้นที่ และพี่ชายลงพื้นที่ ตนเองก็ซึมซับในการลงพื้นที่ และเห็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนระหว่างคนกรุงเทพฯและต่างจังหวัดซึ่งเราก็หวังว่าจะเป็นปากเสียงให้คนเหล่านี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขา

นายพีรพร เมื่อตัดสินใจเข้าสู่การเมือง ก็ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว และเมื่อคุณแม่ ร.ต.หญิงระนองรักษ์ พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ก็มาทำงานท้องถิ่นในตำแหน่งนายก อบจ.นครราชสีมา ซึ่งก็ได้ทำงานมากขึ้น ทั้งจากการเป็นที่ปรึกษาและลงพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ของจังหวัด ซึ่งตรงนี้ต้องสร้างรากฐานให้ชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งต้องพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา ให้พร้อมก่อนเพื่อให้สมดุลกับดิจิทัลเพื่อให้การพัฒนาครบรูปแบบและสมดุลกัน

หวังแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ-ลดค่าครองชีพ

นายพีรพร กล่าวว่า ครั้งก่อนลงในรูปแบบบัญชีรายชื่อ แต่ครั้งนี้ ลงใน ส.ส.เขต เตรียมตัวโดย ปกติลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว รวมถึงการเพิ่มจำนวน ส.ส.จาก 14 เขต เป็น 16 เขต จึงมีโอกาสในครั้งนี้ และมีความตั้งใจ เป้าหมายอยู่ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งพวกเขาต้องการความจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้พวกเขา

นายพีรพร ยังกล่าวว่า อนาคตทางการเมือง หากได้รับการเลือกตั้ง จะช่วยเหลือการลดภาระค่าครองชีพ ในด้านต่าง ๆ ลดต้นทุนด้านต่าง ๆ ทั้งการเกษตร หรือ ทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ขณะที่การที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ นั้นขึ้นอยู่กับผลงาน โดยเป้าหมายคือการช่วยเหลือประชาชน ที่ทราบปัญหามาโดยตลอด

ตลอด 3 ปีลงพื้นที่มาตลอดปัญหายังเหมือนเดิม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสถานการณ์โควิด-19 ค่าครองชีพสูง ค่าปุ๋ยสูงขึ้นกว่าเท่าตัว ยิ่งเขตผมทำการเกษตรกว่า 90 % ทุกคนเหนื่อยหมด

ต้องแก้ทั้งนโยบายบางอย่าง หรือ การปรับเปลี่ยนกระบวนการ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล แหล่งทุน และการตลาด ตรงนี้ต้องช่วยเหลือโดยมีแหล่งทุนให้เข้าถึงไม่ต้องไปกู้นอกระบบ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

"ทพญ.จิดาภา" หวังพัฒนาชีวิตคนหนองคาย ด้วย "นาคีรูท" 

เส้นทางการเมือง "คมสัน พันธุ์วิชาติกุล" จาก "สนามเล็ก" สู่ "สนามใหญ่" 

"วิรัช " มั่นใจ "พปชร." รักษาแชมป์โคราชได้ - รับหวั่นวาระนายกฯ 8 ปี