วันนี้ (2 ส.ค.2565) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์พบผู้ป่วยอาการโควิด-19 รีบาวด์ หรือกลับมาเจอเชื้อซ้ำ หลังได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ครบคอร์สการรักษา เป็นผู้สูงอายุ 3 คน
คนแรก อายุ 60 กว่าปี มีโรคประจำตัว ให้ยาโมลนูพิราเวียร์ จากนั้น 2 สัปดาห์ ผลตรวจกลับมาบวก หรือติดเชื้ออีกครั้ง ส่วนคนที่ 2 อายุเกือบ 70 ปี กลับมาจากต่างประเทศ ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ ผลตรวจเป็นลบแล้ว แต่อีก 14 วันต่อมา ตรวจพบเชื้อมีผลบวก แต่ไม่มีอาการ
ขณะที่อีกคนอายุ 60 กว่าปี มีโรคเบาหวานหรือความดัน ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ จากนั้นวันที่ 13-14 ผลตรวจกลับมาบวกอีกครั้ง มีอาการไอเล็กน้อย
อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบายว่า หากเกิดโควิด รีบาวด์ ต้องดูว่ามีอาการอะไรบ้าง หากไม่มีอาการอาจเป็นซากเชื้อ ซึ่งการตรวจแบบ RT-PCR จะบอกได้ว่ามีปริมาณเชื้อเท่าไหร่ หรือเป็นการติดเชื้อซ้ำหรือไม่ หรืออาจเกิดจากการปนเปื้อนระหว่างเก็บเชื้อก็ได้
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า โควิด รีบาวด์ อาจเกิดจากการกินยาต้านไวรัส แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อในร่างกายให้หมดไป เมื่อหยุดยาเชื้อก็กลับแบ่งตัวขึ้นใหม่ ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นการดื้อยาหรือไม่ ต้องติดตามสาเหตุที่เกิดขึ้นต่อไปเพราะเป็นเรื่องใหม่
กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนอย่าซื้อยาโมลนูพิราเวียร์และฟาวิพิราเวียร์มากินเอง เพราะอาจเจอยาปลอม และยาบางตัวมีผลกับยารักษาโรคอื่นๆ ซึ่งยาต้านไวรัส สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ตามเกณฑ์การประเมิน ว่าเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ คือเป็นผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว
ทั้งนี้ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานยอดผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) 1,843 คน ผู้ป่วยตั้งแต่ 1 ม.ค.65 สะสม 2,370,692 คน หายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 2,514 คน กำลังรักษา 22,012 คน เสียชีวิต 27 คน จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 916 คน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง