1 พฤษภาคม 2565 เป็นวันแรงงานแห่งชาติ นอกจากเป็นธรรมเนียมปกติที่ผู้นำรัฐบาลมักเดินทางไปร่วมในงานที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจัดขึ้น พร้อมกล่าวให้โอกาสแล้ว ยังต้องรับฟังข้อเสนอจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องขึ้นค่าแรงและสวัสดิการต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อรายได้และสวัสดิการผู้ใช้แรงงานเอง
ปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็มีกำหนดการเดินทางไปร่วมงานที่จัดขึ้น ณ กระทรวงแรงงานด้วย
ขณะเดียวกัน ก็มีท่าทีจากคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ที่ออกจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกร้องให้เร่งรัดการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ ในอัตราเดียวกัน 492 บาท
แต่ดูจากความเป็นไปได้แล้วยากมาก เพราะภาครัฐเพิ่งออกมาสยบข่าวลือเรื่องกระทรวงแรงงานจะปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 492 บาท/วัน
แม้ว่าการปรับค่าแรงครั้งหลังสุดของไทย ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 หรือกว่า 2 ปีมาแล้ว ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงผลกระทบจากโควิด 19 ได้ส่งกระทบอย่างรุนแรงต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้น
ไม่เพียงแค่เป็นวันแรงงานแห่งชาติเท่านั้น แต่วันที่ 1 พฤษภาคม ปีนี้ ยังเป็นเดทไลน์สำคัญหลายเรื่องที่รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หลายเรื่องที่ประดังประเดเข้ามาพร้อม ๆ กัน
ด้านหนึ่งเป็นวันเริ่มต้นเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติแบบเปิดกว้างสุดขีด โดยแทบจะไร้ข้อจำกัด ตั้งแต่ยกเลิกการตรวจ RT-PCR จะเหลือเพียงแค่ตรวจ ATK แล้วสามารถเดินทางไปยังเป้าหมายจุดต่าง ๆ ได้ทันที ไม่ต้องพักค้างคืนเพื่อรอผลตรวจเหมือนก่อนหน้านี้
เป้าหมายสำคัญ คือต้องการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจ แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในแต่ละวันจะยังอยู่ระหว่างวันละ 1-2 หมื่นคน ผู้เสียชีวิตหลักร้อยต่อวัน
ราคาน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลช่วยอุ้มมาตลอด ไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท เพื่อไม่ให้กระทบภาคการเกษตรและผู้มีรายได้น้อย จะกลับคืนสู่กลไกและราคาจริงในตลาด ซึ่งประมาณกันว่า อาจปรับขึ้นถึงลิตรละ 5-6 บาท
ท่ามกลางการออกมาเคลื่อนไหวให้รัฐบาลช่วยเหลือ และตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 3 เดือนของสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยและเครือข่าย พร้อมยื่นคำขาด หากรัฐเพิกเฉย จะปรับขึ้นค่าขนส่งทันที 20 %
ขณะที่ก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่รัฐบาลประกาศปรับขึ้นเดือนละ 15 บาทต่อถัง เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งได้เริ่มปรับครั้งแรกเดือนเม.ย.2565 ถังละ 333 บาท ก็จะปรับขึ้นงวดที่ 2 ในเดือนพ.ค.2565 เป็นถังละ 348 บาท
ก่อนจะปรับขึ้นอีกในเดือนมิถุนายน 2565 เป็นถังละ 363 บาท แต่ในทางปฏิบัติ มีการปรับขึ้นโดยบวกค่าขนส่งเข้าไปด้วย บางพื้นที่ราคาสูงถึงละ 380 บาทตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น การประชุม กกพ.หรือคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเมื่อ16 มีนาคม 2565 ได้มีมติให้ปรับเพิ่มค่าเอฟที สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย
ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 4.00 บาทต่อหน่วย
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง สำหรับเรื่องร้อนที่จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤษภาคม ยังไม่นับค่าครองชีพที่จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเรื่องแข่งกับสภาพอากาศที่จะร้อนทะลุองศาเดือด ก่อนจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ