วันนี้ (6 เม.ย.2565) ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 24,252 คน จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 24,165 คน ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 87 คน ผู้ป่วยสะสม 1,558,392 คน (ตั้งแต่ 1 ม.ค.65) หายป่วยกลับบ้าน 26,225 คน หายป่วยสะสม 1,339,558 คน (ตั้งแต่ 1 ม.ค.65) ผู้ป่วยกำลังรักษา 248,078 คน เสียชีวิต 94 คน
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,845 คน เฉลี่ยจังหวัดละ 24 คน อัตราครองเตียง ร้อยละ 27.8
สถานการณ์โควิด ยังเป็นไปตามคาดการณ์
พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิต มีทิศทางเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นไปตามที่กรมควบคุมโรคคาดการณ์ไว้ โดยช่วงสงกรานต์คาดว่าอาจมีโอกาสการติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามขอให้เข้มมาตรการ VUCA ได้แก่ การฉีดวัคซีนโดยเฉพาะเข็มกระตุ้น, ป้องกันตนเองตลอดเวลา ด้วยการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ ไม่ไปสถานที่แออัด เลี่ยงการรับประทานร่วมกัน, องค์กร/หน่วยงานใช้มาตรการ COVID Free Setting และตรวจ ATK เป็นระยะ ซึ่งจะช่วยลดไม่ให้ผู้ป่วยอาการหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิต เพิ่มขึ้น
ไทยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นได้เพียง 34.6%
พญ.สุมนี กล่าวว่า สำหรับผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจำตัว ไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นได้เพียง 34.6% เฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุฉีดเข็มกระตุ้นได้ 37.2% ถือว่าความครอบคลุมยังน้อย โดยมีเพียง 7 จังหวัดที่ฉีดเข็มกระตุ้นกลุ่มผู้สูงอายุตามเป้าหมายได้มากกว่า 70% ได้แก่ น่าน นนทบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต มหาสารคาม ลำพูน และชัยนาท
สำหรับปัจจัยที่ทำให้คนฉีดเข็มกระตุ้นน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผ่อนคลายหลายมาตรการ ทำให้ประชาชนอาจรู้สึกว่าฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเพียงพอแล้ว จึงขอทำความเข้าใจว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนในขณะนี้ การได้รับวัคซีนเพียง 2 เข็ม เมื่อเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันจะลดลง จำเป็นต้องรับวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็ม 3 หรือเข็ม 4 ซึ่งมีข้อมูลว่าช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ชัดเจน โดยการฉีด 3 เข็ม จะลดอัตราเสียชีวิตได้ 31 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่ได้รับวัคซีน
ดังนั้น ช่วงก่อนสงกรานต์ขอให้กลุ่มเสี่ยงมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น หากอัตราการฉีดเข็มกระตุ้นยังน้อย คาดการณ์ว่าหลังสงกรานต์อาจมีการติดเชื้อ มีผู้ป่วยหนัก และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
เด็กอายุ 5-11 ปี ขอให้พามาฉีดวัคซีน
พญ.สุมนี กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในเด็ก พบรายงานการติดเชื้อในกลุ่มอายุ 5-11 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มวัยเรียนเป็นระยะ โดยเด็กกลุ่มนี้ยังฉีดวัคซีนเข็มแรกไม่ถึง 50% และเข็ม 2 ยังไม่ถึง 2% ทำให้ยังมีภูมิคุ้มกันน้อย ขณะที่เชื้อพัฒนาตัวเองตลอดเวลา จึงมีความเสี่ยงติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัว
ทั้งนี้ ขอย้ำให้พ่อแม่ผู้ปกครองพาไปรับวัคซีนซึ่งมี 3 สูตร คือ ไฟเซอร์-ไฟเซอร์ (ฝาสีส้ม) ห่างกัน 8 สัปดาห์, ซิโนแวค-ไฟเซอร์ ห่างกัน 4 สัปดาห์ หรือซิโนแวค-ซิโนแวค ห่างกัน 4 สัปดาห์ และควรฉีดเข็ม 3 ด้วยไฟเซอร์ ห่างกัน 4 สัปดาห์
นอกจากนี้ ควรระวังการรวมกลุ่มในสถานที่อากาศปิด เช่น ร้านเกม เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อได้ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือเจ้าของร้านเกมเพิ่มความปลอดภัยให้เด็ก โดยการลดจำนวนเครื่องลงและจำกัดเวลาไม่ให้อยู่ในร้านนานเกินไป ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี พบการติดเชื้อและเสียชีวิตต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งกลุ่มนี้ยังไม่สามารถรับวัคซีนได้ จึงไม่มีภูมิคุ้มกันและมีความเสี่ยงมากกว่าทุกกลุ่มอายุ ดังนั้น สิ่งเดียวที่จะช่วยได้คือการใช้มาตรการป้องกันส่วนบุคคล
self Clean Up ตัวเองก่อนเดินทาง ช่วงสงกรานต์
พญ.สุมนี กล่าวว่า ผู้ที่จะเดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์ ขอให้ทำมาตรการ Self Clean Up เตรียมพร้อมร่างกายตนเองให้ปราศจากเชื้อ 1 สัปดาห์ก่อนเดินทางกลับ โดยสำรวจตัวเองว่ามีอาการทางเดินหายใจหรือไม่ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยตัว เป็นต้น หรือไปสถานที่เสี่ยงมีคนติดเชื้อหรือไม่ ถ้ามีอาการหรือมีความเสี่ยง ให้ตรวจด้วย ATK หากพบว่าติดเชื้อให้ระงับการเดินทางและเข้ารับการรักษา แต่หากผลเป็นลบ ระหว่างเดินทางขอให้เข้มมาตรการป้องกันตนเอง และเมื่อถึงบ้านแล้วยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคลต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"5 องค์กรวิชาชีพ" หนุนให้ประชาชนฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น