การยึดครองเมืองนี้ได้สำเร็จจะช่วยเชื่อมภูมิภาคดอนบาสกับคาบสมุทรไครเมียและเป็นประโยชน์ต่อการคมนาคมขนส่งในอนาคต ชื่อของเมืองมารีอูโพลอยู่บนหน้าสื่อหลายสำนักทั่วโลกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจากการโจมตีโรงพยาบาล โรงละคร และโรงเรียน
รัสเซียได้ยื่นข้อเสนอให้กองทัพยูเครนในเมืองมารีอูโพลยอมวางอาวุธแลกเปลี่ยนกับการเปิดทางให้ประชาชนอพยพออกจากเมือง
ผู้อำนวยการศูนย์บัญชาการป้องกันแห่งชาติรัสเซียยืนยันว่า กองทัพรัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธหนักโจมตีเมืองมารีอูโพล ขณะที่รองนายกรัฐมนตรียูเครนบอกปัดข้อเสนอของรัสเซียให้ยูเครนวางอาวุธและย้ำจุดยืนไม่ยอมจำนนต่อรัสเซีย
เมืองมารีอูโพล ถือเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยูเครนตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ ริมชายฝั่งทะเลอะซอฟ ที่ตั้งของเมืองมารีอูโพลเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคาบสมุทรไครเมียกับพื้นที่ยึดครองของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียหนุนหลัง
การเชื่อมดินแดน 2 ส่วนผ่านทางแคว้นโดเนทสค์และลูฮันสค์จะช่วยให้การขนส่งสินค้าและประชาชนจากไครเมียสะดวกมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้มีเพียงสะพานข้ามช่องแคบเคิร์ชความยาว 19 กม.เชื่อมระหว่างคาบสมุทรไครเมียกับแผ่นดินรัสเซียเท่านั้น
การปิดล้อมพื้นที่นานหลายสัปดาห์ทำให้ประชาชนประมาณ 300,000 คน ที่ติดอยู่ภายในเมืองเริ่มประสบปัญหาขาดอาหารและน้ำดื่มกว่าร้อยละ 90 ของอาคารในเมืองมารีอูโพล รวมถึงโรงเรียนและโรงพยาบาล ต่างได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตี
ด้านสภาเมืองมารีอูโพลเปิดเผยว่า ผู้หญิงและเด็กในเมืองมารีอูโพลจำนวนหลายพันคนถูกบังคับส่งตัวข้ามพรมแดนไปยังรัสเซีย โดยผู้นำยูเครน ระบุว่า การโจมตีเมืองมารีอูโพลจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมสงครามของรัสเซีย
ส่วนรัสเซียอ้างว่า กองกำลังขวาจัด หรือ กองกำลังอะซอฟ ของยูเครนอยู่เบื้องหลังการโจมตีโรงละครและจับพลเรือนเป็นตัวประกัน เนื่องจากรัสเซียมีหลักฐานบ่งชี้ว่า กองกำลังอะซอฟโจมตีโรงพยาบาลแม่และเด็กและโรงละครเพื่อยั่วยุ โดยกองกำลังอะซอฟใช้เมืองมารีอูโพลเป็นฐานที่มั่นและขัดขวางไม่ให้ประชาชนหลบหนีออกจากเมือง
สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปในสงครามครั้งนี้ คือ รัสเซียจะเดินเกมในสมรภูมิเมืองมารีอูโพลต่อไปอย่างไร แต่ไม่ว่าการเดินเกมของรัสเซียจะออกมาในรูปแบบไหนย่อมกระทบต่อประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้