พนักงานมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แบกกระเป๋า สะพายโน๊ตบุ๊ก และเอ็กซ์เทอร์นอล ฮาร์ดดิส เตรียมข้อมูลสำรองกลับบ้าน เผื่อต้องทำงาน Work From Home เพราะยังไม่มั่นใจสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และได้ยินกระแสข่าวว่าทางรัฐบาลมีมาตรการจะให้ทำงานที่บ้านเป็นเวลา 14 วันด้วย
หลังไม่ได้กลับบ้านช่วงปีใหม่มา 2 ปี เพราะยังกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย และยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจึงกลัวว่าหากเดินทางจากกรุงเทพฯ จะนำเชื้อไปให้ที่บ้าน แต่ปีนี้เพราะความคิดถึงคนที่บ้าน เธอจึงเตรียมตัวฉีดวัคซีนแล้ว 3 เข็ม เพื่อเดินทางไปหาพ่อ-แม่ที่ จ.สกลนคร
อย่างไรก็ตาม ตลอดการเดินทางจากหมอชิตไปสกลนคร มีการป้องกันตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งสวมหน้ากากอนามัย ไม่กินหรือดื่มอะไรบนรถ และพยายามไม่เข้าห้องน้ำหากไม่จำเป็น ขณะเดียวกันคิดว่าถ้าการเดินทางหรือระบบขนส่งยังเปิดให้กลับได้ ไม่ล็อกดาวน์ การทำงานแบบเวิร์กฟอร์มโฮมจากคอนโดที่กรุงเทพ ก็สะดวกมากกว่าที่บ้านต่างจังหวัดมาก
ขณะที่เภสัชกรคนหนึ่ง เดินทางกลับบ้านที่หาดใหญ่ โดยไม่ได้เตรียมอุปกรณ์เกี่ยวกับอาชีพกลับไปเป็นพิเศษ เนื่องจากอาชีพเภสัชกรไม่สามารถทำงานเวิร์กฟอร์มโฮมได้ จึงเลือกที่จะป้องกันตัวเองตลอดการเดินทาง และเมื่อถึงบ้านก็พยายามไม่ออกไปข้างนอก อยู่เฉพาะกับคนในครอบครัวเท่านั้น เพื่อไม่ให้ติดเชื้อก่อนกลับไปทำงาน
ส่วนพนักงานออฟฟิศอีกคนหนึ่ง บอกว่า เพิ่งได้งานใหม่ซึ่งบริษัทมีเงื่อนไขให้ Work From Home 100% อยู่แล้ว โดยจะเข้าบริษัทเพียงบางครั้งเท่านั้น การกลับบ้านครั้งนี้ก็เหมือนกับการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน หากเดินทางกลับมากรุงเทพฯ ไม่ได้ ก็เตรียมพร้อมจะทำงานด้วยโน๊ตบุ๊กที่ติดตัวไปอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ข้อดีของการ Work From Home 100% ของออฟฟิศ ทำให้ไม่ต้องฝ่ารถติดหรือเผชิญความเสี่ยงกับโรค และพร้อมจะทำงานในทุกสถานการณ์ แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการอะไรก็ตาม แต่ข้อเสียคือ การไม่ได้พบปะผู้คน รวมถึงเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แม้จะทำงานได้ยังไม่ถึงปี โดยเฉพาะโรคออฟฟิศซินโดรม ปวดคอ และหลัง