วันนี้ (20 ต.ค.2564) สนามบินชางงี กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากเที่ยวบินแรกจากกรุงอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์เดินทางมาถึง ผู้โดยสารหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการเดินทางสะดวกและเชื่อมั่นในมาตรการของรัฐบาลสิงคโปร์
หากมองย้อนไป สิงคโปร์เริ่มคลายข้อจำกัดให้กับเยอรมนีและบรูไน ตั้งแต่เมื่อต้นเดือน ก.ย. ก่อนขยายเพิ่มอีก 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และอีก 5 ชาติในยุโรป นอกจากนี้ยังเตรียมยกเลิกมาตรการกักตัวให้กับเกาหลีใต้ในช่วงกลางเดือนหน้าอีกด้วย
หลายประเทศในจำนวนนี้ถือเป็นคู่ค้าสำคัญของสิงคโปร์ โดยเฉพาะเยอรมนี สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นประเทศต้นทางของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มาเปิดสำนักงานอยู่ในสิงคโปร์
ขณะที่ตัวเลขนักเดินทางที่มาจาก 11 ประเทศนี้มีมากถึงร้อยละ 10 ของผู้ที่เดินทางเข้าสิงคโปร์ในแต่ละปีในยุคก่อนโควิด-19
การตัดสินใจดำเนินการของรัฐบาลสิงคโปร์ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการเริ่มต้นเปิดประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่ร่วมกับโควิด-19 ในแบบฉบับของสิงคโปร์ ประเทศเล็ก ๆ ที่ชูจุดเด่นเรื่องการเป็นศูนย์กลางทางการเงินและแหล่งรวมบริษัทข้ามชาติจากทั่วโลก
เงื่อนไขหลักสำหรับผู้ที่ต้องการจะเดินทางเข้าสิงคโปร์แบบไม่ต้องกักตัวข้อแรก คือ ต้องฉีดวัคซีนครบแล้วนาน 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง และต้องมีหลักฐานยืนยันสถานะการฉีดด้วย ซึ่งอาจเป็นเอกสารรับรองจากประเทศใดประเทศหนึ่งใน 11 ประเทศ ที่ได้รับอนุญาตหรือของสิงคโปร์ก็ได้
นอกจากนี้ ยังต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ภายใน 48 ชั่วโมง ก่อนบินและเมื่อเดินทางถึง ขณะที่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ไม่ต้องกักตัวเหมือนกัน หากเดินทางมากับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วตามเงื่อนไขข้างต้น
แต่ที่ต้องจับตามองไม่ใช่เรื่องที่ว่าใครจะเข้าได้หรือเข้าไม่ได้ แต่เป็นสถานการณ์โควิด-19 ในสิงคโปร์เอง ที่อาจจะกลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางความสำเร็จของการเปิดประเทศ
สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศล่าสุดที่ออกมาประกาศเตือนพลเรือนอเมริกันให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเยือนสิงคโปร์ โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยกระดับคำเตือนเป็นระดับสูงสุด เนื่องจากพบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระดับที่สูงมาก และเตือนด้วยว่า แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ผู้ที่เดินทางไปสิงคโปร์ก็ยังเสี่ยงที่จะติดเชื้อหรืออาจแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นได้
ข้อมูลตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงที่สุด 5 อันดับของสิงคโปร์ จะเห็นว่าล้วนเกิดขึ้นในเดือนนี้ทั้งนั้น ในวันที่ 5 ต.ค. สิงคโปร์ทำสถิติทะลุ 3,000 คน เป็นครั้งแรก และนับตั้งแต่นั้นมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็เกาะอยู่ราว ๆ วันละ 3,000 คนแทบทั้งสิ้น จนมาแตะที่อันดับสูงสุดคือเมื่อวานนี้ (19 ต.ค.) สิงคโปร์พบผู้ติดเชื้อในประเทศมากถึง 3,981 คน
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูง แต่อัตราการฉีดวัคซีนในสิงคโปร์เองก็สูงมากเช่นเดียวกัน โดยฉีดครบแล้วมากกว่าร้อยละ 80 ของประชากรที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณกว่า 5,000,000 คน
สิ่งนี้เองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์โควิด-19 ในสิงคโปร์ไม่ได้เลวร้ายเท่าใดนัก เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อพอ ๆ กัน
ทั้งนี้ หากสิงคโปร์ทำผลงานได้ดีไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็น "ประเทศต้นแบบ" ของการอยู่ร่วมกับโควิด-19 นอกเหนือไปจากการพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศ