จากกรณีประเทศไทยเตรียมแผนฉีดวัคซีน COVID-19 ในเด็กอายุ 12-17 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนกว่า 4 ล้านคนเพื่อเตรียมรองรับเปิดเทอม 2 ในเดือนพ.ย.นี้
วันนี้ (16 ก.ย.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับคำแนะนำการฉีดวัคซีน COVID-19 สําหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป (ฉบับที่ 2) ว่า การระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทย ปัจจุบันพบว่าแม้จะมีการติดเชื้อในเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี ในสัดส่วนที่สูงขึ้น แต่ผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อโรค COVID-19 ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง และมีอัตราการเสียชีวิตน้อยมาก และเด็กติดเชื้อ COVID-19 ที่เสียชีวิตคือผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้โรค COVID-19 ที่รุนแรงและถึงแก่ชีวิตได้ ประกอบกับข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกัน สําหรับเด็กและวัยรุ่นมีมากขึ้น
ดังนั้น ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จึงเห็นสมควรมีคำแนะนําในการฉีดวัคซีนCOVID-19 สําหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป เพิ่มเติมจากคำแนะนําฉบับที่ 1 ลงวันที่ 16 ก.ค.64 ดังนี้
แนะนําให้เด็กและวัยรุ่นฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ชนิดที่ได้รับการรับรอง ขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทยให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่น โดยให้ตรงตามอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ และวัคซีนได้ผ่านการพิจารณาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งในขณะวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา มีวัคซีน COVID-19 เพียงชนิดเดียวคือ วัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
แนะนําให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 16 ปีจนถึงน้อยกว่า 18 ปี ทุกราย หากไม่มีข้อห้ามในการฉีด ทั้งเด็กที่ปกติแข็งแรงดี และที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดโรคที่รุนแรงอาจถึงแก่เสียชีวิต เพราะเป็นกลุ่มอายุที่กําลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีการดำเนินชีวิต ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่และมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ในเด็กและวัยรุ่นมากเพียงพอ
อ่านข่าวเพิ่ม กางไทม์ไลน์ฉีดวัคซีน "ไฟเซอร์" สำรวจรายชื่อเคาะตัวเลข 26 ก.ย.
กลุ่มไหนที่ต้องได้รับวัคซีน
สําหรับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16 ปี แนะนําให้ฉีดวัคซีน ในกรณีเป็นผู้ป่วยเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีโรค เรื้อรัง ซึ่งจะทําให้เกิดโควิด-19 ที่รุนแรงดังต่อไปนี้
- บุคคลที่มีโรคอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือมีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 12-13 ปี น้ำหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 13-15 ปี น้ำหนัก 90 กิโลกรัมขึ้น ไปในเด็กอายุ 15-18 ปี หรือเด็กอ้วนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น)
- โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคไตวายเรื้อรัง
- โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- โรคเบาหวาน
- กลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า
ข้อปฏิบัติหลังการฉีดวัคซีน
นอกจากนี้ แนะนําให้งดออกกําลังกายอย่างหนัก หรือการทํากิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายหลังจากการฉีดวัคซีน ป้องกันโรค COVID-19 เนื่องจากมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบภายหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ชนิด mRNAซึ่งพบในอัตราที่ต่ำมาก
จึงแนะนําให้เด็กและวัยรุ่นทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก และวัยรุ่นชายที่ได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ทั้งโดสที่ 1 และ 2 ควรงดการออกกำลังกายหรือการทํากิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ภายหลังจากการฉีดวัคซีน และในเวลาดังกล่าวนี้หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อยหรือ หายใจไม่อิ่ม ใจสั่นหน้ามืดเป็นลมควรรีบไปพบแพทย์ โดยหากแพทย์สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหรือ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบควรพิจารณาทําการตรวจค้นเพิ่มเติม
สําหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่สุขภาพแข็งแรงดี และในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ชนิดอื่นๆ ในเด็ก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จะมีคำแนะนําเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ในอนาคต
ในการให้คำแนะนําด้านการฉีดวัคซีนแก่เด็กและวัยรุ่น ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จะมุ่งให้ เกิดประโยชน์แก่ตัวของเด็กและวัยรุ่น โดยชั่งน้ำหนักระหว่างผลเสียที่อาจเกิดขึ้น และประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจาก วัคซีน ทั้งนี้จะให้น้ำหนักแก่ของความปลอดภัยแก่เด็กเป็นสิ่งสำคัญ และจะต้องมีประโยชน์คุ้มค่ากับความเสี่ยง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดีเดย์ ต.ค.ฉีดวัคซีน 24 ล้านโดส เล็ง "ไฟเซอร์" กลุ่ม 12 ปีขึ้นไป
ไทยติดโควิดเพิ่ม 13,897 คน หายป่วย 13,527 คน
ศธ.เผยแผนรับเปิดเทอมฉีดไฟเซอร์ให้ นร.-นศ.ทุกสังกัด 4.5 ล้านคน