ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ไม่ใช่ไสยศาสตร์! หมอผ่าตัดหญิง 17 ปีเจอ"ผม-เล็บ"ในถุงน้ำรังไข่

สังคม
6 ก.ย. 64
10:12
6,229
Logo Thai PBS
ไม่ใช่ไสยศาสตร์! หมอผ่าตัดหญิง 17 ปีเจอ"ผม-เล็บ"ในถุงน้ำรังไข่
หมอโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช ผ่าตัดเนื้องอกขนาดใหญ่ 12 ซม.ในท้องหญิงสาววัย 17 ปี แต่พบมีเส้นผม เล็บ ไขมัน เศษกระดูกในก้อนเนื้อ ระบุไม่ใช่ไสยศาสตร์ สามารถพบได้ในกลุ่มโรคถุงน้ำรังไข่ หรือ "เดอร์มอยด์ซีสต์" เตือนปวดท้องก่อนมีประจำเดือนต้องพบแพทย์

วานนี้ (5 ก.ย.2564) นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.โรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟชบุ๊ก Arak Wongworachat หลังจากรับเคสผ่าตัดเนื้องอกในหญิงวัยรุ่นอายุ 17 ปี โดยระบุว่า ตะลึงเนื้องอกขนาดใหญ่ในท้อง เมื่อผ่าก้อน เจอเส้นผมเป็นกระจุก ไขมัน กระดูก เล็บ และฟัน

นพ.อารักษ์ ระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นผู้ป่วยหญิงอายุน้อยเพียง 17 ปี มีประวัติ ปวดถ่วงในท้องน้อยมาประมาณ 4 เดือน ปวดมากตอนมีประจำเดือน ไม่คิดว่าตนเองผิดปกติอะไร คิดไปเองว่าปวดประจำเดือน เป็นปกติของผู้หญิง

2 วันก่อนมาโรงพยาบาล ระหว่างเดิน วิ่งเล่น รู้สึกปวดในท้องขึ้นมาทันทีทันใด ปวดบิดๆ ตื้อๆ แล้วก็หายไป แต่พอตกค่ำอาการปวดรุนแรงขึ้น จนนอนไม่หลับ วันรุ่งขึ้นอาการปวดเหมือนทุเลาลงหลังกินยาพารา แต่พอตกค่ำอาการปวดรุนแรงขึ้นอีก รู้สึกเหมือนมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร กดเจ็บท้องน้อยบอกญาติที่บ้าน สงสัยว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ จึงรีบพาไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลสิชล

แพทย์เวรห้องฉุกเฉิน สั่งให้ตรวจโควิดแบบเร่งด่วน ผลเป็นลบ จึงเข้าประเมินอาการ ทันที ผู้ป่วยดูอ่อนเพลียมาก ซีด ปากแห้ง คอแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ความดันปกติ ตรวจหน้าท้อง ท้องน้อยโต กดเจ็บไปทั่วท้อง จึงสั่งให้งดอาหารและน้ำ เปิดเส้นให้น้ำเกลือ จองเลือด เอาเครื่องอัลตราซาวด์แบบมือถือมาตรวจ พบว่ามีก้อนในท้องขนาดใหญ่ สงสัยเบื้องต้นทันทีว่าน่าจะเป็นก้อนในรังไข่ ขั้วบิดพันกัน ใกล้แตก จึงรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช ให้ส่งผู้ป่วยเตรียมตัวพร้อมผ่าตัดทันที

ภาพ:เฟซบุ๊ก Arak Wongworachat

ภาพ:เฟซบุ๊ก Arak Wongworachat

ภาพ:เฟซบุ๊ก Arak Wongworachat

ก้อนรังไข่ขั้วบิด 3 รอบ-เจอไขมัน เส้นผมเล็บ

เมื่อเข้าห้องผ่าตัดทีมแพทย์ผ่าตัด แพทย์ดมยาสลบ ทีมพยาบาล ต้องเตรียมพร้อมปฏิบัติการเสมือนผู้ป่วยอาจจะติด COVID-19 ต้องใส่ชุดป้องกันเต็มที่ เมื่อเปิดท้องพบก้อนขนาดใหญ่ประมาณ 12 เซนติเมตร สีดำคล้ำ เป็นก้อนรังไข่ที่ขั้วบิดพันกัน 3 รอบ จนก้อนขาดเลือดไปเลี้ยง

มีบางส่วนของก้อนเยื่อหุ้มเริ่มปริแตก มีเลือดซึมไหลออกมา มีน้ำเหลือง เลือด ในอุ้งเชิงกรานประ มาณ 100 ซีซี จึงรีบตัดเอาก้อนออก ตรวจสอบรังไข่อีกข้างตัวมดลูกยังปกติ ทำความสะอาด เย็บปิด ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 30 นาที

เมื่อเอาก้อนออกมาผ่าดู พบว่ามีเส้นผมเป็นกระจุกเต็มก้อน ผสมกับไขมัน เศษกระดูกอ่อน เล็บ ฟันผสมอยู่ ถ้าเป็นความเชื่อบางคน อาการที่ปรากฎอาจคิดว่าโดนของหรือคุณไสย ทั้งๆที่ความจริงคือ โรคถุงน้ำรังไข่ที่มีเซลล์ที่สามารถเจริญเติบโตไปเป็นเส้นผม เล็บ ฟัน ไขมันอยู่ผิดที่ ไม่ใช่เรื่องของไสยศาสตร์

การตรวจอัลตราซาวด์ในช่องท้อง วินิจฉัยโรคได้ไม่ยาก

ภาพ:เฟซบุ๊ก Arak Wongworachat

ภาพ:เฟซบุ๊ก Arak Wongworachat

ภาพ:เฟซบุ๊ก Arak Wongworachat

รู้จัก เดอร์มอยด์ซีสต์ (Dermoid cyst) คืออะไร?

เดอร์มอยด์ซีสต์” (Dermoid cyst หรือ Teratoma) ถือเป็นโรคถุงน้ำรังไข่ หรือซีสต์รังไข่ ชนิดหนึ่ง คือ โรคที่มีความผิดปกติของเซลล์ที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆมาอยู่ที่รังไข่ตั้งเเต่เเรกเกิด เเล้ว มีการพัฒนา หรือ ถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยบางอย่าง ทำให้เจริญไปเป็นเซลล์ผิวหนัง เส้นผม ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน ฟัน หรือ กระดูกได้ ทั้งนี้เดอร์มอยด์ซีสต์สามารถพบได้หลายขนาด ตั้งแต่ 1-30 เซนติเมตร 

วิธีการรักษาต้องผ่าตัดเท่านั้น 

สาเหตุเกิดจากเนื้อเยื่อชั้นหนึ่งของร่างกายที่ตามปกติแล้วจะต้องเจริญไปเป็นเซลล์ที่ผิวหนัง แต่กลับเกิดการเจริญเติบโตอยู่ผิดที่ แทนที่จะอยู่ภายนอกร่างกาย แต่กลับเข้าไปเจริญเติบโตในช่องท้องที่บริเวณรังไข่ จึงทำให้พบว่าภายในรังไข่ มีน้ำมันจากต่อมไขมัน เส้นผม หนังศีรษะ หรือแม้กระทั่งฟันอยู่ภายใน (ซึ่งความผิดปกตินี้เกิดขึ้นในระยะแรกๆ ของการเติบโตของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา)

ลักษณะของซีสต์ จะเป็นก้อนกลม อาจจะมีปอยผม เล็บ กระดูก หรือไขมัน อยู่ภายในได้มักไม่ค่อยมีอาการ หรืออาจมีอาการปวดท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่ง หรือรู้สึกว่า หน้าท้องหนาผิดปกติ หรือมีก้อนในท้องใครมีแบบนี้ควรไปตรวจกับสูตินรีเเพทย์ 

มีแค่การผ่าตัดเท่านั้นที่รักษาโรคนี้ได้ไม่มีการทานยา หรือฉีดยาใดๆทั้งสิ้น และเเพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะระวัง ไม่ให้ซีสต์เเตก เนื่องจากหากมีเศษเล็กๆหล่นลงไปในท้อง อาจเป็นซ้ำได้ โรคนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่มะเร็ง ไม่ใช่เนื้องอกร้ายแรง และมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้น้อยมาก แต่ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ 1%

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง