จากกรณีศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรวจพันธุกรรม SARS -CoV-2 จากตัวอย่าง บางแค และทองหล่อ ด้วยวิธี Specific probe Real Time RT-PCR เพื่อแยกสายพันธุ์อังกฤษ กับสายพันธุ์ปกติ (Wild type) และระบุว่า เป็นสายพันธุ์อังกฤษ ซึ่งจะแพร่เชื้อได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ 1.7 เท่า
ชี้เชื้อในสถานบันเทิงเป็น “สายพันธุ์อังกฤษ” แพร่เร็วกว่า 1.7 เท่า
จากการค้นพบไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ L ซึ่งเป็นสายพันธุ์ต้นกำเนิดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนในเดือน ธ.ค.2562 และแยกออกมากเป็นสายพันธุ์ ต่างๆ ประกอบด้วย S,L,G,V,GH,GR,O,B ดังนี้
1.สายพันธุ์เอส S (Serine) : เริ่มต้นจากประเทศจีน ระบาดระลอกแรกในไทย เดือน มี.ค.2563
2.สายพันธุ์ L (Leucine) : แพร่กระจายมีลูกหลานได้มากกว่าสายพันธุ์ S โดยเฉพาะเมื่อออกนอกจีนไปถึงยุโรป
3.สายพันธุ์ G (Glycine) : ลูกหลานที่มาจากสายพันธุ์ L แพร่กระจายได้ง่ายตามหลักวิวัฒนาการ กระจายทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
4.สายพันธุ์ V (Valine) : เป็นลูกหลานที่มาจากสายพันธุ์ L
5.สายพันธุ์ GH (Histiddine) :เป็นลูกหลานจากสายพันธุ์ G
6.สายพันธุ์ GR (Arginine) : เป็นลูกหลานจากสายพันธุ์ G
7.สายพันธุ์ O : พวกที่กลายพันธุ์ไม่บ่อยรวมกัน
8.สายพันธุ์ B หรือ SARS-CoV-2 VUI 202012/01 ต้นกำเนิดกลายพันธุ์จากประเทศอังกฤษ
ขณะที่สายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์
1.สายพันธุ์ B.1.1.7(GR,G) พบครั้งแรกในอังกฤษ เมื่อเดือน ก.ย.2563 ส่วนใหญ่อยู่ในอังกฤษ
2.สายพันธุ์ B.1.351(GH,G) พบครั้งแรกที่ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อเดือนตุลาคม 2563
3.สายพันธุ์ P.1(GR) พบครั้งแรกคือประเทศบราซิล เมื่อ ธ.ค.2563