วันนี้ (6 ก.พ.2564) นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ระบุว่าจากการตรวจเยี่ยมการทดสอบระบบการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของสถาบันบำราศนราดูร ซึ่งเป็นสถาบันเชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ โรคติดเชื้อของประเทศ พบว่าระบบที่จัดไว้มี 8 ขั้นตอน เป็นลำดับอย่างต่อเนื่องผ่านไปด้วยดี ใช้เวลารวม 37 นาที สามารถเป็นต้นแบบให้กับโรงพยาบาลอื่น ๆ นำไปปรับใช้ได้ โดยก่อนเข้ารับบริการจะมีการคัดกรอง วัดไข้ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล และจัดให้เว้นระยะห่างทุกขั้นตอน
จุดที่ 1 ลงทะเบียน โดยใช้เครื่อง KIOSK ลดการสัมผัส
จุดที่ 2 ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต
จุดที่ 3 คัดกรอง ซักประวัติ
จุดที่ 4 รอฉีดวัคซีน
จุดที่ 5 รับการฉีดวัคซีน ใช้เวลาเพียง 5-7 นาที
จากนั้นจุดที่ 6 ให้นั่งพักรอสังเกตอาการจนครบ 30 นาที มีการจัดห้องปฐมพยาบาล แพทย์ วิสัญญีพยาบาล และอุปกรณ์ช่วยชีวิตพร้อมดูแล และทุกรายต้องสแกน Line official account “หมอพร้อม” เพื่อใช้ติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีน 1 วัน 7 วัน 30 วัน แจ้งเตือนรับวัคซีนเข็มที่ 2
จุดที่ 7 ก่อนกลับบ้าน พยาบาลจะตรวจสอบเวลาว่าครบ 30 นาที สอบถามอาการ และให้คำแนะนำ พร้อมแจกเอกสารให้ความรู้
และจุดที่ 8 มี Dash Board จาก Line OA “หมอพร้อม” แสดงการประเมินผลความครอบคลุมการฉีดวัคซีน และอาการไม่พึงประสงค์ของวัคซีนแต่ละชนิด ทั้งนี้ เมื่อได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 ครบ 2 เข็ม จะได้รับใบยืนยันการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทาง Line OA “หมอพร้อม” อีกด้วย
ทั้งนี้ ขอให้บุคลากรการแพทย์และประชาชนกลุ่มเป้าหมายมั่นใจการให้วัคซีนครั้งนี้ รัฐบาลเน้นย้ำความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการคัดเลือกวัคซีนสำหรับคนไทย และสถานพยาบาลได้เตรียมความพร้อม จัดระบบให้คำแนะนำ เฝ้าระวัง ติดตามอาการไม่พึงประสงค์ไว้พร้อมแล้ว
ขณะที่ นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง ในฐานะประธานคณะทำงานด้านการให้บริการวัคซีน ฝึกอบรม และกำกับติดตามผล กล่าวว่า ระบบบริการฉีดวัคซีน COVID-19 ของสถาบันบำราศนราดูร มีขั้นตอนที่ครบถ้วน จะนำไปเป็นต้นแบบให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมา โรงพยาบาลต่าง ๆ มีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้ประชาชนทุกปีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม วัคซีน COVID-19 ที่จะมีการฉีดในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการให้บริการวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายที่มีจำนวนมากที่สุด จึงต้องมีการจัดขั้นตอนที่มากกว่าการฉีดวัคซีนอื่น ๆ และเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจและมีความปลอดภัยมากที่สุด โดยโรงพยาบาลสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานที่แต่ละแห่ง ตามบริบทของพื้นที่