วันนี้ (7 พ.ย.2563) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า "โจ ไบเดน" จากพรรคเดโมแครต กลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 หลังคะแนนนำ "โดนัลด์ ทรัมป์" พรรครีพับลิกัน 273 : 213 เสียง (อัปเดต 23.28 น. ตามเวลาประเทศไทย)
โจ ไบเดน สามารถคว้าชัยเหนือทรัมป์ไปได้ในรัฐเพนซิลเวเนีย หลังจากขับเคี่ยวกันมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไบเดนได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งเพิ่มขึ้นไปอีก 20 เสียง รวมเป็น 273 และชนะการเลือกตั้งทันที
ล่าสุด โจ ไบเดน ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ โดยระบุว่า "อเมริกา! ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่พวกคุณเลือกให้ผมเป็นผู้นำประเทศที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา"
แม้งานในอนาคตจะยากลำบาก แต่ผมสัญญาว่าจะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน ไม่ว่าคุณจะเลือกผมหรือไม่ก็ตาม ผมจะรักษาศรัทธาที่พวกคุณไว้วางใจและเชื่อมั่นในตัวผม
ขณะเดียวกัน คามาลา แฮร์ริส จะกลายเป็นว่าที่รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ ที่มีเชื้อสายเอเชียใต้-ผิวดำ ทลายกำแพงหลายด่านรวดอีกด้วย
สำหรับเส้นทางนักการเมืองของไบเดน เริ่มต้นขึ้นหลังเข้าดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์ ยาวนานถึง 36 ปี ระหว่างนั้นมีส่วนสำคัญในการผลักกันกฎหมาย มากกว่า 40 ฉบับ รวมถึงกฎหมายว่าด้วยความรุนแรงต่อผู้หญิงที่ไบเดนระบุว่าภูมิใจที่สุด กับกฎหมายควบคุมอาชญากรรมและความรุนแรง ปี 1994 ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงว่านำไปสู่การใช้ความรุนแรงคนผิวสีและคนกลุ่มน้อย
การลงสนามชิงชัยผู้นำสหรัฐฯ ในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ของไบเดน โดยครั้งแรกในปี 1987 เขาได้ประกาศถอนตัวจากประเด็นอื้อฉาวกรณีลอกสุนทรพจน์นักการเมืองอังกฤษ ในปี 2008
ไบเดนถอนตัวเพื่อลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับบารัก โอบามา และดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี 2 สมัย มีบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษา โดยเฉพาะการต่างประเทศและบทบาทของสหรัฐในการบุกอิรัก