วันนี้ (4 เม.ย.2563) จากเหตุการณ์ชุลมุนที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา จนรัฐบาลต้องประกาศตามหาคนที่ไม่ยอมกักตัวอีกกว่า 152 คน ซึ่งล้วนแต่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์
ท่ามกลางความเห็นทั้งบวกและลบในสื่อสังคมออนไลน์ และบ่ายวันเดียวกันนี้ ในสื่อสังคมออนไลน์ ถึงกับมีการเปิดรายชื่อผู้โดยสารที่หนีการกักตัว และอยู่จังหวัดไหนกันบ้าง
ในจำนวนคนหมู่มาก หลากความเข้าใจ หลายสำนึกรับผิดชอบ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยอมเดินทางไปกักตัว ที่เรือนรับรองของกองทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตั้งแต่เดินทางมาถึงอย่างไม่มีข้อแม้
“อิง” (นามสมมุติ) ผู้โดยสารคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยขั้นตอนก่อนจะถูกส่งไปกักตัว ว่า ตนและเพื่อน เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 20.00 น.
หลังจากลงจากเครื่องเเล้ว เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่เช็คเอกสารต่างๆ เเละลำเลียงเข้าด่านควบคุมโรค เมื่อผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้ไปเอากระเป๋าเดินทางเเละให้เข้าเเถว เพื่อเดินไปที่รถที่ทางรัฐบาลจัดไว้ให้
ให้รวมกลุ่มนอนห้องละ 3 คน
ในระหว่างการเดินทางตนใส่หน้ากากไว้ตลอดเวลา เเละระวังตัวเองมากๆ เพราะคนที่เจอที่สนามบินไม่ใช่เเค่คนในไฟลท์เรา เเต่เป็นคนจากไฟลท์จากประเทศอื่นๆ ด้วย เมื่อเดินทางถึงสถานที่ที่รัฐจัดเตรียมไว้ให้ เจ้าหน้าที่จะให้เราเอากระเป๋าทั้งหมดไปพ่นยาฆ่าเชื้อ, เช็คอุณหภูมิร่างกาย เเละลงชื่อ เเละตอบคำถามต่างๆ เช่น มาจากประเทศอะไร หรือ อุณหภูมิร่างกายเท่าไหร่
อิงเล่าต่ออีกว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้รวมกลุ่มกัน 3 คน เพื่อนอนในห้องเดียวกัน (เเนะนำให้รีบหาเพื่อนตั้งเเต่เนิ่นๆ เพราะจะได้นอนกับคนที่ไว้ใจ เเละรุ่นเดียวกัน เพราะถ้าหน้างานมาคนเดียวหรือไม่มีกลุ่ม เค้าอาจจะจับเรารวมกลุ่มกับคนอื่นได้) ขั้นตอนนี้ต้องใช้บัตรประชาชนด้วย เเละจะได้รับ โคดมาเป็นการรวมกลุ่มกรุ๊ปไลน์เเละกรอกฟอร์มข้อมูลส่วนตัว
ห้องพัก-สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม
อิงเล่าต่อว่า ห้องที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ไม่ได้เล็กมาก ไม่ได้ใหญ่มาก พอนอนได้สำหรับ 3 คน ซึ่งถ้าคนไหนมาเป็นเพื่อนกัน 4 คน เเล้วขอนอนด้วยกัน เขาก็อนุญาตเเต่ก็ต้องนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วย เเละขนาดของห้อง
บางห้องมี 3 เตียง บางห้องมี 2 เตียง หาวิธีจัดการกับปัญหาการนอน แนะนำให้มีที่นอนเป็นของตัวเอง (เพื่อความปลอดภัย) ในห้องก็มีของใช้อยู่บ้าง เช่น กาต้มน้ำ ช้อน เเก้ว ผ้าเช็ดตัว เเต่ถ้าขาดเหลืออะไรสามารถเเจ้งเจ้าหน้าที่ได้ เขาจะจัดหามาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (ของที่จำเป็น) หรือถ้ามีคำถามก็สามารถถามเจ้าหน้าที่ได้เลย
พี่เค้าใจดีกันมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าหน้าที่จะคอยชี้เเจงอยู่เเล้วในทุกเรื่อง ต้องคอยฟังเอา เเต่ก็ถามได้เหมือนกัน เช่น รหัสไวไฟ หรือปัญหาต่างๆ ที่เจอ เช่น เเอร์เสียหรือห้องมีเตียงไม่พอ หรือจะให้ทางญาติส่งของมาให้ (เเต่เข้าเยี่ยมไม่ได้) เเต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับมาตรการด้วยเหมือนกัน ถามดูไม่เสียหาย เเต่ถ้าไม่ได้ดั่งใจ ก็ต้องทำใจหน่อย
อาหารดี แต่ต้องเข้าใจ เจ้าหน้าที่มีน้อย
ส่วนเรื่องอาหาร ให้ปริมาณเยอะอยู่ อิ่มเลยเเหละ อร่อยดี ไม่เเย่เลย เเต่วิธีการรับอาหาร คือพี่ ทหารเค้าจะใส่ตะกร้าไว้ให้เเล้วเราก็ดึงขึ้นมา เเต่เมื่อถึงเวลา เราก็ต้องรับผิดชอบ ออกไปเอาตรงระเบียงด้วย มีอาหารให้ทุกมื้อ เเล้วก็จะมีคุณหมอมาคอยดูเเละวัดไข้ให้ทุกวัน รวมๆ เเล้วดูเเลดีอยู่ เเต่ก็ต้องใจเย็นมากๆ เพราะเนื่องจาก มีจำนวนเจ้าหน้าที่น้อยกว่า จำนวนผู้ถูกกักตัว
ทุกอย่างดีกว่าที่คิดไว้ ควรให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
สำหรับเราคือมันดีกว่าที่คิดไว้ เเต่ตอนเเรกๆ อาจจะตกใจหน่อย เเต่เมื่อรู้เเล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เตรียมรับมือให้ดี เเละก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ให้มากเท่าที่ทำได้
ส่วนเรื่องการอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รู้จัก สำหรับเราคือ ก็ต้องคุยกัน เเล้วก็จัดการร่วมกันให้ได้ ใจเขาใจเรา เพราะเวลาส่วนใหญ่ เค้าไม่ให้ออกไปไหน ให้อยู่ในห้องตลอด เเต่ในห้องเปิดเเอร์ได้ตลอด 24 ชั่วใง ซึ่งมันก็สบายดี อาหารก็อร่อย มีทุกมื้อ มีคนคอยดูเเลถ้าขาดเหลืออะไร มันดีกว่าที่คิด
เเนะนำให้หาอะไรทำ เพราะไม่งั้นอาจจะเบื่อได้ สุดท้ายนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเอง ว่าจะหาวิธีการหรือความคิดมาจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง อย่างเเรกคือก็ต้องทำใจยอมรับก่อน เพราะอย่างน้อยมันก็เเค่ 14 วัน ไม่ใช่ตลอดไป ต้องทนๆ กันหน่อย เเต่มันก็มีเรื่องดีแอบแฝงอยู่ เพราะที่เขาทำมันก็เพื่อคนไทยเราเองทั้งนั้น
พี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ผมเอาพวกคุณมาดูเเล ไม่ได้เอามากักขัง” ก็ลองไปคิดดูเอาเเล้วกันนะคะ เอ็นจอย!