วันนี้ (26 มี.ค.2563) พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะผู้ได้รับแต่งตั้งหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ชี้แจงทำความเข้าใจถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยงและมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ประสงค์ให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน จึงกำหนดมาตรการจากเบาไปหาหนัก
เริ่มจากตั้งจุดตรวจควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจกับฝ่ายปกครอง อาสาสมัครบางส่วน และจะมีสารวัตรทหารเข้าไปช่วยเหลือ เพื่ออำนวยความสะดวกคัดกรองผู้สัญจรไปมา โดยเฉพาะกรณีไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด เช่น การรักษาระยะทางสังคม กรณีไม่ใส่เครื่องป้องกัน หรืออาจมีความเสี่ยงเป็นผู้ติดเชื้อ หรืออาจนำสินค้าควบคุมผ่านไปอย่างผิดปกติ ซึ่งจุดอำนวยความสะดวกนี้ จะไม่รบกวนการสัญจร
พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า ในระยะต่อไปหากมีมาตรการและข้อมูลโดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กำหนดรายการสินค้าควบคุมเพิ่มเติม จุดตรวจนี้ก็อาจทำหน้าที่ตรวจคัดกรองด้วย ซึ่งขณะนี้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยังไม่จำเป็นต้องมีการตรวจตราโดยละเอียด เพราะฉะนั้นการสัญจรไปมายังเป็นปกติ พร้อมเน้นย้ำรณรงค์การรักษาระยะทางสังคม ไม่จัดกิจกรรมอันจะส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาด สิ่งเหล่านี้ถูกนำเสนอมาเป็นเวลานาน แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างในการดำรงชีวิตยังคงเป็นปกติเช่นเดิม จึงเป็นที่มาให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
ขณะที่หลายประเทศในโลกที่มีการปิดประเทศ มีการประกาศเคอร์ฟิวไม่ให้ออกจากบ้านยามวิกาล แต่ประเทศไทยขณะนี้ยังไม่ปิดประเทศ ยังไม่ปิดเมืองยัง ไม่ปิดบ้าน ทุกคนสามารถสัญจรไปมาเป็นปกติได้ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว ตัวเลขพุ่งสูงขึ้น จนนำไปสู่การปิดประเทศ และจะได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง จึงขอให้ทบทวนสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งเตือนมาตลอดเวลา
ตั้งแต่การเว้นระยะทางสังคม การงดการชุมนุมในกิจกรรมซึ่งเป็นความเสี่ยง ที่มีโอกาสแพร่เชื้อโรค ลดชั่วโมงทำงาน ลดเวลาทำงาน มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำงานนอกเวลา ทำงานที่บ้านได้ ตอนนี้รัฐบาลยังให้เป็นเรื่องความสมัครใจ ยังไม่ถึงกับให้ออกใบอนุญาตให้ออกจากบ้าน จึงอยากให้มาร่วมมือกันและทำตามที่แพทย์แนะนำ และขออย่ากักตุนสินค้าเกินความจำ เป็นเพื่อผู้ผลิตสินค้าจะได้คำนวณการผลิตสินค้าได้อย่างแม่นยำ