วันนี้ (20 มี.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณถนนลาดพร้าวซอย 2 หรือ หัวมุมถนนลาดพร้าว ตัดกับถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณตรงนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่เปิดเป็นร้านขายอาหาร และร้านกินดื่มที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่น ที่เปิดติดกันหลายร้าน แต่หลังจากเกิดเหตุการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และรัฐบาลประกาศขอความร่วมมือให้ปิดร้านชั่วคราวเพื่อเป็นการลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรค เพราะภายในร้านเหล่านี้ค่อนข้างแออัด ทีมข่าวไทยพีบีเอส พบว่าทุกร้านบริเวณนี้ปิดตัวลง และบรรยากาศเงียบเหงาแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่บริเวณนี้จะเป็นแหล่งรวมตัวของกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมาก
การปิดร้านอาหารบริเวณนี้ยังกระทบไปถึงกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ซึ่งนายบุญล้อม เดชภูงา คนขับรถแท็กซี่ บอกว่าก่อนหน้านี้จะจอดรอรับส่งผู้โดยสารบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก และก็จะมีคนมาใช้บริการเกือบตลอดทั้งคืน แต่ช่วงนี้ผู้โดยสารก็น้อยลงไปอย่างมาก ทำให้รายได้ลดลงไปอย่างชัดเจน
เช่นเดียวนายสัญญา เค้าดี คนขับรถแท็กซี่ ก็ยอมรับว่ารายได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเกิดไวรัส COVID-19 เพราะจำนวนผู้โดยสารลดน้อยลง แต่กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ก็ยังต้องขับรถอยู่ จึงต้องขอให้เจ้าของอู่ลดราคาค่าเช่า หรือ เพิ่มเวลาการขับ จากเดิมที่ค่าเช่าวันละประมาณ 600 บาท ก็ลดเหลือ 400-500 บาท ซึ่งทางอู่ก็ต้องการให้มีคนขับรถ เพราะหากปล่อยรถทิ้งไว้ก็ไม่ได้เงินเช่นกัน
ขณะที่อีกจุดหนึ่งบริเวณถนนรัชดาภิเษก ย่านรัชโยธิน ทีมข่าวยังพบว่าบางร้านยังคงเปิดให้บริการตามปกติ และมีคนเข้ามานั่งรับประทานอาหารอยู่ภายในร้าน แต่จำนวนไม่มากเท่าเหมือนแต่ก่อน ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายของกรุงเทพมหานคร
หลังจากที่เมื่อวานนี้ผู้บริหารของกรุงเทพมาหนครประชุมร่วมกับผู้อำนวยการเขตทุกเขต และกำชับให้ดำเนินการตรวจสอบ และติดตามให้สถานบริการ และสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการปฏิบัติตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ให้ปิดสถานที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 18 - 31 มี.ค.นี้ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการปิดสถานบริการ และสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ ตามความมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 แม้ว่าสถานบริการ และสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ จะปรับตัวด้วยการไม่จัดแสดงดนตรี ไม่เปิดเพลง ไม่แสดงโชว์ ไม่จำหน่ายสุรา แต่ยังถือว่าเป็นประเภทกิจการสถานบริการ และสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ จึงต้องปิดสถานที่เป็นการชั่วคราวตามคำสั่งดังกล่าว หากฝ่าฝืน จะมีความผิด โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ