วันนี้ (22 ก.พ.2563) สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย ยอดผู้ติดเชื้อยังคงที่ที่ 35 คน ล่าสุดแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านเพิ่มอีก 2 คน รวมมีผู้ป่วยที่กลับบ้านทั้งหมด 19 คน ส่วนอีก 16 คนยังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในจำนวนนี้มี 2 คนที่อาการหนัก ส่วนผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคในไทย ตั้งแต่ 3 ม.ค.-20 ก.พ.63 ยอดรวมมี 1,151 คน
แม้สถานการณ์ในไทยยังคงที่ แต่การระบาดอย่างรวดเร็วใน 3 ประเทศของทวีปเอเชีย ทั้งใน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง แต่กรมควบคุมโรค ขอความร่วมมือคนไทย หากไม่จำเป็นให้เลื่อน เลี่ยงเดินทางไปยังประเทศดังกล่าว
นายอนุทิน ชาญวีรกุล ก็ส่อแววว่าอาจมีการประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการหารือตามขั้นตอน โดยถ้าประกาศ ให้ไวรัสโควิด-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรงจริง ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่เป็นการประกาศเพื่อยกระดับการทำงาน เพิ่มอำนาจในการควบคุมโรคอย่างเข้มข้นเท่านั้น ทั้งนี้จะมีการนำเข้าพิจารณาในวันที่ 24 ก.พ.นี้
ห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยเด็ดขาด
มีรายงานว่าเวลานี้ โรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ต้องเร่งการผลิตตลอด 24 ชั่วโมง แต่ยังผลิตออกมาไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ยังขาดอีกกว่า 20 ล้านชิ้น ด้านหนึ่งเป็นเพราะมาตรการห้ามส่งออกเกิน 500 ชิ้นก่อนหน้านี้ ไม่ได้ผล เนื่องจากมีผู้ส่งออกใช้วิธีเลี่ยงไปส่งแค่ 490 ชิ้นแทน
ล่าสุด คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ก็เลยมีคำสั่งใหม่ห้ามส่งออกไม่ว่ากี่ชิ้นก็ตาม แต่จะผ่อนผันให้เฉพาะหิ้วไปใช้ส่วนตัว ไม่เกินคนละ 30 ชิ้น และผู้ป่วยที่มีการหลักฐานทางการแพทย์ ไม่เกินคนละ 50 ชิ้น
คุมราคาห้ามเกิน 2 บาทต่อชิ้น
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ส่วนมาตรการควบคุมราคาจำหน่ายในประเทศ กระทรวงพานิชย์ ยืนยันว่ากำลังดำเนินการกระจายหน้ากากอนามัยผ่านร้านธงฟ้า 900 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงร้านขายยา และร้านสะดวกซื้อต่างๆ อีกว่า 20,000 แห่ง เพื่อขายในราคา 2.50 บาท แต่จำกัดการซื้อไม่เกินคนละ 4 ชิ้น
ตอนนี้ไม่มีจำนวนแล้ว ไม่ให้ไม่มีคำว่า 500 ชิ้น ขึ้นไปยกเว้นให้ถือติดตัวไปอย่างเดียวคนละ 30 คน
หลังจากเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้ผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย ปันหน้ากากอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของการผลิต ครอบครอง และจำหน่ายหน้ากากอนามัยดังกล่าวให้ศูนย์จำหน่ายของกรมการค้าภายใน กระทรวงพานิชย์ ในราคา ไม่เกินชิ้นละ 2 บาท โดยเริ่มมาตรการตั้งแต่เมื่อวานนี้ (21 ก.พ.)