วันนี้ (1 ก.พ.2563) คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีน รายงานยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ล่าสุดเพิ่มเป็น 11,791 คน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 259 คน แต่ยังไม่มีผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีน ส่วนผู้ติดเชื้อในต่างประเทศมีมากกว่า 100 คน ใน 22 ประเทศทั่วโลก ขณะที่เริ่มมีรายงานการติดต่อจากคนสู่คนแล้วใน 6 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี ญี่ปุ่น เวียดนาม สหรัฐอเมริกา ไทย และเกาหลีใต้ โดยผู้ป่วยติดเชื้อมาจากคนที่เคยเดินทางไปประเทศจีนหรือนักท่องเที่ยวจีน
จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มสูงกว่า 10,000 คน นับตั้งแต่ที่เชื้อเริ่มปรากฏในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีนเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมา มีจำนวนมากกว่าผู้ติดเชื้อโรคซาร์ส หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง ที่ระบาดถึง 8 เดือน เมื่อปี 2546 ซึ่งมีผู้ติดเชื้อประมาณ 8,100 คน ทำให้หลายประเทศทั่วโลกเริ่มยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Johns Hopkins CSSE ซึ่งเป็นเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จาก WHO, ECDC, NHC และ DXY ล่าสุด เมื่อเวลา 09.30 น. พบสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่มีอาการดีขึ้นสะสมแล้ว 252 คน
หลังจากที่องค์การอนามัยโลกประกาศให้การะบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในจีนเป็นภาวะฉุกเฉิน ด้านสาธารณสุขระดับโลกทำให้หลายประเทศดำเนินมาตรการป้องกันโรคที่เข้มข้นมากขึ้น โดยสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และห้ามชาวต่างชาติที่เดินทางไปจีนในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ผ่านเข้าประเทศชั่วคราว ในความพยายามที่จะป้องกันการระบาด โดยมาตรการห้ามการเดินทางดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือซีดีซี (CDC) ยืนยันพบผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นคนที่ 7
ขณะที่รัฐบาลทั่วโลกดำเนินมาตรการป้องกันโรคกันอย่างเข้มงวดและสายการบินระหว่างประเทศหลายสายพากันระงับเที่ยวบินไปจีน แต่คริส ลินด์ไมเออร์ (Chris Lindmeier) โฆษกองค์การอนามัยโลก เตือนว่า การปิดพรมแดนอาจเร่งให้เกิดการระบาด เพราะนักเดินทางอาจหาวิธีอื่นในการเข้าประเทศ เหมือนเมื่อครั้งการระบาดของไวรัสอีโบลา เมื่อมีการปิดพรมแดน คนก็จะหันไปใช้วิธีอื่นในการเดินทางเข้าประเทศ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดในการแกะรอยไวรัสคือการให้คนผ่านข้ามพรมแดนที่มีการตรวจคัดกรองโรค
ด้านนักเศรษฐกิจ ประเมินว่า ไวรัสโคโรนาจะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจโลกมากกว่าโรคซาร์ส เนื่องจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก รวมทั้งบริษัทเทคโนโลยี บริษัทผลิตรถยนต์และษริษัทค้าปลีกที่มีฐานการผลิตในจีน ต้องปิดตัวชั่วคราว