วันนี้ (30 ม.ค.2563) เวลาประมาณ 11.00 น.กระทรวงสาธารณสุขแถลงความคืบหน้าสถานการณ์และแนวทางรับมือป้องกันโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้มีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายและกลับบ้านเพิ่มอีก 1 คน โดยมีผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษา 8 คน รวมถึงคนที่ได้รับการรายงานเมื่อวานนี้ (29 ม.ค.) โดยขณะนี้ได้กลับบ้านแล้ว 6 คน เป็นคนไทย 5 คน คนจีน 1 คน อาการเป็นปกติดี
นอกจากนี้ยังมีการคัดกรองเพิ่มในไทยเป็นผู้เดินทางมาจากจีนในเที่ยวบินอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากเมืองอู่ฮั่นเพิ่ม ซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจพบคนที่ป่วยได้เร็วขึ้น โดยในช่วงตั้งแต่วันที่ 24 - 29 ม.ค.63 รวมทั้งหมด 92 เที่ยวบิน รวมคัดกรองจำนวน 6,953 คน ขณะนี้สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิและสนามบินนานาชาติได้ปกิฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชม.ทั้งหน่วยงานในพื้นที่และหน่วยงานราชการอื่น
ขณะที่สถานการณ์ระดับโลกได้มีรายงานว่า พบผู้ป่วยที่เดินทางจากประเทศจีนไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกรวม 17 ประเทศ รวม 6,066 คน ประเทศจีนรวม 5,974 คน ยอดเสียชีวิตรวม 32 คน โดยยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตในต่างประเทศ ถือว่าสถานการณ์ค่อนข้างดีเนื่องจากผู้ป่วยมีมีอาการน้อย ขณะที่ประเทศไทยมีผู้ป่วยทั้งสิ้น 14 คน โดยติดเชื้อมาจากต่างประเทศและกลับบ้านได้แล้ว 6 คน
นอกจากนี้ช่วงเช้าที่ผ่านมา ยังมีการสั่งประชุมร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลทั่วประเทศเพื่อให้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงเตรียมรับมือโดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินระดับพื้นที่ ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลจังหวัด เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวจะได้วางระบบการเฝ้าระวังโดยเตรียมความพร้อมระดับสูงสุด
นพ.โสภณกล่าวว่า ภาพรวมจะเน้นการเฝ้าระวังและป้องกันเชิงรุกจากเดิมที่เน้นเฝ้าระวังบริเวณบริเวณสนามบินและขยับมาที่โรงพยาบาลขณะนี้ขยายไปยังชุมชุน ขณะเมื่อพบผู้ที่เข้าตามเกณฑ์คือมีไข้ มีอาการทางเดินหายใจเดินทางมาจากจีนไม่เกิน 14 วัน โดยให้รับแจ้งโดยมีเชื่อจากไกด์ โดยให้รีบแจ้ง ซึ่งโรงแรมต่าง ๆ ก็รับทราบแล้ว การป้องกัน ขณะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่หนักหนัก แต่ระยะต่อไปหากมีผู้ป่วยมากขึ้น และอาการหนักจะได้มีสถานบริการที่เพียงพอโดยเน้นโรงพยาบาลจังหวัดและโรงพยาลเอกชนเพื่อเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต
ขณะที่จากการสำรวจเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (25 ม.ค.2563) โดยสนามบินสุวรรณภูมิพบว่ามี ตกค้างประมาณ 20,000 คน เพราะไม่มีเที่ยวบินในการบินกลับ แต่ก็ทยอยเดินทางกลับโดยสายการบินที่ไปลงยังเมืองอื่นที่ใกล้กับเมืองอู่ฮั่นจากนี้น่าจะเหลือไม่เกิน 10,000 คน อยู่ระหว่างที่สายการบินจีนประสานให้เดินทางกลับ ขณะที่ผู้ที่อยู่ในไทยก็ติดตามว่ามีอาการป่วยหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่พบผู้ที่ติดเชื้อรุนแรง คาดว่าจะกลับหมดภายใน 2-3 วันนี้ ซึ่งคาดว่าจีนจะเปิดสนามบินในวันที่ 3 ก.พ.นี้
นพ.โสภณ กล่าวเพิ่มถึงการรับนักศึกษาไทยในเมืองอู่ฮั่นกลับมายังประเทศไทยว่า ในเมืองอู่ฮั่นซึ่งมีนักศึกษาประมาณ 60 กว่าคนส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านซึ่งมีโอกาสน้อยที่จะติดเชื้อและอยู่วัยที่แข็งแรง ขณะนี้เมืองอู่ฮั่นได้ยกเลิกขนส่งสาธารณะและให้สวมหน้ากากผ้าซึ่งการติดต่อของโรคก็จะลดลงโดยอัตโนมัติ และตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมาซึ่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารสุขได้อยู่ในกรุ๊ปแชตของนักศึกษาทำให้สามารถสอบถามอาการได้ ทั้งนี้หากมีการเดินทางไปรับนักศึกษาก็จะเจ้าหน้าที่ร่วมตรวจคัดกรอง ขณะที่สายการบินได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับผู้ที่อาจจะมีอาการมากกว่าปกติรวมถึงมีแพทย์เดินทางไปเพื่อช่วยในการตรวจคัดกรองด้วย ซึ่งหากไม่ป่วยก็จะให้กลับบ้านเพื่อสังเกตอาการจนครบระยะ
ขณะที่คนขับแท็กซี่ รถโดยสารได้แจกหน้ากากป้องกันและเจลล้างมือซึ่งแนะนำในการเฝ้าระวังผู้โดยสารแล้ว ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจ ซึ่งได้แนะนำการทำความสะอาดแล้ว
นพ.โสภณ ระบุว่า สำหรับกรณีที่มีคนป่วยเข้าเกณฑ์ 202 คน มีแท็กซี่จำนวน 2 คน ถ้าใครทำงานบริการคงเลี่ยงยากที่จะไม่เจอนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่า 1-2 วันจะมีการยืนยันออกมา โดยตรวจ 2 แห่งคือกรมการแพทย์และโรงพยาบาลจุฬา ศูนย์โรคอุบัติใหม่ โดยหากผลตรงกันถึงจะยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา แต่เบื้องต้นอาการไม่ได้รุนแรง แต่มีอาการมีไข้และไอ หลังจากสอบถามแท็กซี่ ไม่สามารถระบุได้ว่าได้ให้บริการจากนักท่องเทีี่ยวที่เดินทางมาจากอู่ฮั่นหรือไม่
นพ.โสภณ ยังระบุว่า กรณีการติดโรคจากคนสู่คนก่อนหน้านี้มี 4 ประเทศที่ติดเชื้อจากคนสู่คน โดยคนในพื้นที่ไม่ได้เดินทางไปจีน คือ ญี่ปุ่นที่เป็นคนขับรถบัส เวียดนามซึ่งลูกไม่ได้เดินทางไปจีนแต่พ่อกลับจากจีน เยอรมนี ที่ติดจากนักธุรกิจเดินทางไปที่จีน และกรณีสุดท้ายที่ไต้หวัน ซึ่งการติดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นคนใกล้ชิดมาก หากไม่ใช่คนในครอบครัวก็มีความเสี่ยงน้อย คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น คนที่ป่วยจึงควรป้องกันตนเองเพื่อไม่แพร่เชื้อ
ขณะที่กรณีของเสียชีวิตของชาวจีนที่ จ.เชียงใหม่ ต้องใช้การตรวจชันสูตรศพโดยนิติเวชเนื่องจากเสียชีวิตผิดปกติ ซึ่งคาดว่าไม่ใช่การป่วยจากโรคติดต่อ