“สถานการณ์โดยรวมสามารถควบคุมได้ 100%”
“ได้กำหนดมาตรการ จัดการทรัพยากร เฝ้าระวังทั้ง 5 สนามบิน ทั้งทางบก ชายแดน ทางเรือ คัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง มีความพร้อมรักษา ส่งต่อ จัดตั้งพื้นที่ควบคุมเมื่อมีความจำเป็น”
“เน้นย้ำชี้แจงตามข้อเท็จจริง ไม่ปิดบัง ยึดหลักการชีวิตและสุขภาพประชาชนสำคัญที่สุด”
“สิ่งที่น่าห่วงใยไม่ยิ่งหย่อนกว่าโรคระบาด คือข่าวปลอม หรือแหล่งข่าวผู้หวังดีแต่อาจคลาดเคลื่อน หากสงสัยสอบถามได้ที่กรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง”
9 นาทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์กรณีไวรัสโคโรนา และฝุ่น PM 2.5 เมื่อ 27 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา
ครอบคลุมประเด็นสำคัญ รัฐบาลไทยกำลังทำอะไร ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในมาตรฐานเฝ้าระวังระดับสากล และขอความร่วมมือรักษาสุขภาพและดูแลบ้านเมืองของเรา
สายตาที่จับจ้องมายังผู้ชมตลอดเวลา ไม่ก้มหน้าอ่านบทในมือ เป็นไปได้ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดนอกเนื้อหาที่กำหนดไว้บนหน้าจอเทเลพรอมเตอร์ (Teleprompter) ด้วยเป็นแถลงการณ์สำคัญ จะผิดพลาดมิได้
ทั้งที่วันเดียวกัน ยังมีข่าวพาดหัวนายกรัฐมนตรีตอบคำถามปัญหาการส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับประเทศ และหลุดคำพูดที่สะท้อนภาพความแข็งกร้าวของเจ้าตัวออกมาอีกครั้ง
ย้อนดูคู่มือปฏิบัติ ของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ที่กำหนดการสื่อสารภาวะวิกฤติไว้
Crisis Management Team (CMT) ผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดขององค์กร ต่อกระบวนการจัดการและการสื่อสารในภาวะวิกฤต
Crisis Communication Team (CCT) บุคลากรที่เข้ามาร่วมรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์ วางแผนการสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤต
Crisis Manager บุคคลผู้เป็นผู้ประสานงานหลักจัดการสื่อสารในภาวะวิกฤต
CCTจะต้องหาคำตอบว่ากลุ่มเป้าหมายที่จะสื่อสารคือใคร พวกเขาอยากรู้หรือกังวลเรื่องใด เราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง และจะทำอะไรต่อไป
ที่สำคัญคือ “อะไรควรพูด” และ “อะไรไม่ควรพูด”
ย้อนโพสต์เฟซบุ๊กของ รศ.ปิติ ศรีแสงนาม นักวิชาการ กรณีฝุ่น PM2.5
5.ผมจะ #ไม่พูด อะไร ๆ ที่เป็นการเติมเชื้อไฟ เช่น ทนเอา ปัญหาเกิดจากประชาชน หรือ ห้ามใช้รถดีเซล เพราะมันปฏิบัติจริงไม่ได้
ภาวะที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วย “คนวงใน” เพื่อนพ่อเพื่อนแม่อยู่พื้นที่โรคระบาด รู้ลึกรู้จริงยิ่งกว่าใคร
บอกต่อข่าวปลอมจริงบ้างเท็จบ้าง เพื่อสร้างความหวาดกลัวหรือหวังทำลายล้างเป้าหมาย
ภาวะ “ตายเพราะปาก” ก็บั่นทอนชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในตัวนักการเมืองมาไม่น้อย
บางคนกลับใช้หลัก “สร้างข่าวใหม่เพื่อกลบข่าวเดิม” ยอมสร้างภาพลักษณ์ด้านลบเพียงเพื่อแลกกับ “ภาพจำ”
แต่เพราะภัยพิบัติ โรคระบาด เดิมพันสูงลิบความเป็นตายของผู้คน ใช่เรื่องเอาชนะคะคานหรือสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง
และการสื่อสารภาวะวิกฤต เป้าหมายคือประชาชนทุกฝ่าย ใช่เพียงมวลชนผู้สนับสนุน
แม้ปฏิเสธได้ยาก ว่าฝ่ายเห็นต่างบางกลุ่ม ที่กำลังปั่นกระแสความวุ่นวายในข่าวสาร
อยากให้มีผู้ติดเชื้อ อยากให้ข่าวร้ายเป็นเรื่องจริง เพื่อความพินาศวิบัติของรัฐบาลที่เกลียดชัง
หากแต่รัฐบาลผู้แบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบ ย่อมต้องเป็นผู้นำ ละวางความขัดแย้ง และทำงาน
เพราะการสื่อสารแค่ลดผลกระทบ แต่การลงมือทำจะแก้ปัญหาได้จริง
เรื่อง : จตุรงค์ แสงโชติกุล