ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก จับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 คน คือ นายเปรมชัย กรรณสูต นายยงค์ โดดเครือ นางนที เรียมแสน นายธานี ทุมมาศ โดยมีของกลางเป็นซากเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา สัตว์ป่าคุ้มครอง พร้อมอาวุธปืนและอุปกรณ์ทำผิดจำนวนมาก
วันนี้ (6 ก.พ.2561) นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ขณะนี้นายเปรมชัย ยังให้การปฏิเสธ แต่เนื่องจากการเข้าจับตัวที่แคมป์ ที่เข้าไปตั้งบริเวณห้วยปะซิ หน่วยพิทักษ์ป่ามหาราช มีพยานหลักฐานชัดเจนเป็นซากเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา ขณะนี้ต้องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการไปก่อน และต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
เท่าที่ได้รับรายงาน พบว่ากลุ่มของนายเปรมชัย ขออนุญาตเข้าพื้นที่ไปจุดหนึ่ง แต่กลับไปอีกจุดหนึ่ง หากเจ้าหน้าที่ไม่มีการลาดตระเวน คงไม่สามารถจับกุมได้ นอกจากนายเปรมชัยแล้ว ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน แต่ยังไม่ทราบว่ามีใครบ้าง อยู่ในแวดวงธุรกิจระดับสูงเหมือนนายเปรมชัยด้วยหรือไม่ แต่ยังไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง สำหรับบทลงโทษหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ต้องพิจารณาว่าผิดกระทงใดบ้าง
นายธัญญา ยืนยันว่าไม่กังวลว่า นายเปรมชัย เป็นนักธุรกิจระดับสูง เพราะถือว่าเจ้าหน้าที่กรมอุทยาน ทำดีที่สุด ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันเราต้องให้ขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานโดยไม่ได้เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าใครถ้าผิดว่าไปตามผิด แต่ต้องอยู่ที่พยานหลักฐานว่าเป็นอย่างไร และยืนยันว่านักท่องเที่ยวหรือบุคคลทั่วไปสามารถพกพาอาวุธปืนเข้าไปในพื้นที่ป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติได้ แต่ยอมรับโดยปกติ เจ้าหน้าที่ของเราไม่มีโอกาสจะไปตรวจค้นว่าใครจะเอานำอะไรเข้ามาในพื้นที่
เปิดค่านิยมล่าสัตว์ป่าเกมคนรวย
ด้านนายสมโภชน์ มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า เบื้องต้นนายเปรมชัย ยังให้การภาคเสธ แม้ว่าจะมีการจับ และยึดของกลางทั้งซากสัตว์ป่า อาวุธปืน กระสุนจำนวนมาก กรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ เพราะข่าวคนรวย และนักธุรกิจ คนมีชื่อเสียงในสังคมที่ยังที่มีค่านิยมในการล่าสัตว์ป่า ทั้งจะเพื่อกีฬา การบริโภค และความเชื่อที่ต้องล่าเสือเพื่อความมีอำนาจ หายไปหลายปีแล้ว
ขณะนี้ข้อมูลการสอบสวนพบว่า นายเปรมชัย กับพวก เดินทางมาที่ทุ่งใหญ่นเรศวร โดยไม่ใช่การลักลอบ เนื่องจาก มีการผ่านจุดตรวจค้นหลัก ที่สำนักงานเขตใหญ่อุทยานแห่งชาติฯ ทุ่งใหญ่นเรศวร แต่ขณะนั้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย โดยวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เห็นผิดสังเกตว่า เนื่องจากคณะของนายเปรมชัย ยังไม่เข้าที่พักแคมป์บริเวณจุดมหาราช จึงออกตามหา และพบว่านายเปรมชัย และพวก ได้ตั้งแคมป์ ในบริเวณที่หลบตาเจ้าหน้าที่ และเป็นพื้นที่ห้ามตั้งแคมป์ ซึ่งห่างจากจุดเข้าพักหลักประมาณ 5 กิโลเมตร
ถ้าให้ประเมินจากพฤติกรรมของกลุ่มนี้ ไม่ใช่ล่าเพื่อเกมกีฬา เหมือนในสมัยก่อน จากประสบการณ์เชื่อว่าการล่าเสือ มีประเด็นความเชื่อของขลัง โดยเฉพาะเสือดำ เป็นความเชื่อมากกว่า
ในเบื้องต้นแจ้งในหลายข้อหา คือ 1.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 36 และมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โทษจำคุก 5 ปีปรับ 5 หมื่นบาท 2.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 16 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
3.ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 19 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มีมีโทษจำคุก 4 ปีปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท 4.ฐานนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามข้อ 1 (1) ของกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2538) ออกตามความตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 5. ฐานรวมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ6. สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 พนักงานสอบสวนจะดำเนินการแจ้งความกล่าวโทษตามฐานความผิดต่อไป
โดยวันนี้ เวลา 14.00 น. นางสาวกาญจนา นิตยะ ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติฯจะแถลงข่าวการจับกุมประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ ล่าสัตว์ป่าในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์ทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก ณ ห้องประชุมชั้น 5 กรมอุทยานฯ
เจอหลักฐานซากสัตว์-อาวุธปืนเพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจยึดของเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในคดีนายเปรมช้ย และพวกรวม 4 คน ประกอบด้วย อาวุธปืนลูกซองแฝด จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนพร้อมใช้งาน รวมทั้ง พบซากไก่ฟ้าหลังเทากับเนื้อเก้ง จึงได้ควบคุมตัวไว้ เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบ ซากเสือดำถูกชำแหละเนื้อและหนังแล้วกับเครื่องกระสุนปืนอีกจำนวนมากที่ถูกซุกซ่อนไว้บริเวณแค้มป์พัก จึงส่งตัวดำเนินคดียัง สภ.ทองผาภูมิ
ขณะที่ นายวิเชียร ชินวงศ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร กล่าวว่า ได้ตรวจสอบอีกครั้งบริเวณแค้มป์พักแรม พบสิ่งของและซากสัตว์ป่าเพิ่มเติม คือจุดแรกอยู่ห่างจากจุดที่ตั้งแค้มป์พักแรมไปทางทิศเหนือ ประมาณ 5 เมตร พบหนังเสือดำลักษณะเป็นผืนทั้งตัว โดยถูกชำแหละเนื้อออกไปแล้ว และผืนหนังเสือดำถูกถนอมซากด้วยการทาด้วยเกลือ เพื่อไม่ให้เน่าเสีย วัดขนาดความยาวจากหัวถึงสะโพก 83 เซนติเมตร ความยาวจากหัวถึงหาง 148 เซนติเมตร พบกะโหลกเสือดำ 1 หัว โดยชิ้นส่วนทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในถุงดำ และมัดปากถุงด้วยเชือกซุกซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้
จุดที่ 2 อยู่ห่างจากแค้มป์พักแรมไปทางทิศเหนือประมาณ 5 เมตร พบกระเป๋าสะพายข้างสีแดงดำถูกซุกซ่อนโดยใช้เศษหญ้าแห้งปิดคลุม เมื่อเปิดดูภายในกระเป๋าพบ กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ขนาด 2 แรงครึ่ง จำนวน 13 นัด , กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ขนาด 1 แรง จำนวน 5 นัด , เข็มขัดคาดเอวแบบมีช่องเก็บกระสุนปืนลูกซอง จำนวน 1 เส้น , กระสุนอาวุธปืนขนาด .22 จำนวน 50 นัด แยกเป็นกระสุนหัวระเบิด จำนวน 11 นัด และกระสุนหัวตะกั่ว จำนวน 39 นัด ทั้งหมดบรรจุอยู่ในกล่องกระสุน 1 กล่อง , นกหวีดแบบใช้เป่าล่อนก จำนวน 1 อัน , กระสุนอาวุธปืนไรเฟิล ยี่ห้อ WINCHESTER 30-06 SPRG จำนวน 3 นัด ซึ่งเป็นกระสุนแบบเดียวกันกับที่ตรวจพบในอาวุธปืนยาว (ปืนไรเฟิล) ยี่ห้อ STEYR-MANNLICHER-M , น้ำมันล้างปืน 1 ขวด , ไฟฉายสปอร์ตไลต์ยี่ห้อ Metro จำนวน 1 กระบอก , ช้อนส้อมแบบพับได้ 1 คู่ , มีดพับ 1 เล่ม และจุดที่ 3 พบซากเสือดำ 1 ตัว ถูกชำแหละแล้ว รวมน้ำหนักซาก น้ำหนักกะโหลก และเครื่องในได้ 10.6 กิโลกรัม โดยไม่รวมหนังเสือ โดยบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกซุกซ่อนโดยใช้เศษหญ้าปิดคลุม